ส่องกำไร ธ.กสิกรไทย คาดไตรมาส 3/66 ดอกเบี้ยขาขึ้นหนุน แต่หนี้เสีย-ตั้งสำรองยังกดดัน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่องกำไร ธ.กสิกรไทย คาดไตรมาส 3/66 ดอกเบี้ยขาขึ้นหนุน แต่หนี้เสีย-ตั้งสำรองยังกดดัน

Date Time: 15 ต.ค. 2566 07:00 น.

Video

ดร.พิพัฒน์ KKP กระเทาะโจทย์เศรษฐกิจไทย บุญเก่าเจอความเสี่ยง บุญใหม่มาไม่ทัน

Summary

  • นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ยังสามารถโตได้ จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่กำลังอยู่ในขาขึ้น แต่ประเด็นหนี้เสีย และการตั้งสำรองในระดับสูงยังกดดัน

ท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้น และยังคงอยู่ในระดับสูง นักลงทุนต่างคาดหวังว่าผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับประโยชน์ ซึ่งหุ้นของ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น KBANK กำลังเป็นที่จับตามองว่าอานิสงส์ดังกล่าวนั้น จะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้กำไรสุทธิสามารถเติบโตได้มากน้อยเพียงใด หลังมีปัจจัยลบที่ยังกดดัน อย่างการตั้งสำรองและความเสี่ยงของลูกหนี้รายย่อยและ SME ที่ยังมีสัญญาณเป็นหนี้เสีย


บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า เบื้องต้นคาดแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ยังเติบโตได้จากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อนได้เล็กน้อย หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เร่งตัวขึ้นได้ดี หลังสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น และส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ไตรมาส 4/66 แม้คาดลดลงจากไตรมาส 3/66 จากการเข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจ แต่จะโตเด่นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำ หนุนให้คาดทั้งปี 2566 KBANK จะมีกำไรสุทธิ 41,830 ล้านบาท หรือเติบโต 16.9% จากปีก่อน


ทั้งนี้ มีการปรับลดคาดการณ์กำไรเพื่อสะท้อนทิศทางการลดต้นทุนการเงิน (Credit Cost) ที่ช้ากว่าคาด และหนี้เสีย (NPL) ที่ยังสูงขึ้น เพื่อยึดหลักอนุรักษ์นิยม เราได้ปรับเพิ่มสมมติฐานต้นทุนการเงินของ KBANK สำหรับปี 2566 และปี 2567 ขึ้นเป็น 2% จากเดิมคาดที่ 1.8% และ 1.9% จากเดิมคาด 1.7% ตามลำดับ ให้สอดคล้องกับแผนจัดทำ Balance Sheet Clearing นานกว่าประมาณการเดิมที่คาดจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 3/66 เลื่อนเป็นเสร็จสิ้นภายในปี 2567


ขณะที่ความเสี่ยงของลูกหนี้ในกลุ่ม SME และลูกหนี้รายย่อย ที่ยังมีสัญญาณไหลตกชั้นเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้นจากผลของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง บวกกับการทยอยเพิ่มอัตราการผ่อนชำระของลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2566 จะลดลงเฉลี่ยปีละ 5.6% จากประมาณการเดิม


อย่างไรก็ดี ผู้บริหารระบุว่าการตั้งสำรองในปี 2567 แม้มีทิศทางลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องรอถึงปี 2568 การตั้งสำรองถึงจะลดลงสู่ระดับปกติ ดังนั้น มองว่าราคาหุ้นที่ Underperform กลุ่มในช่วงที่ผ่านมา ได้ตอบสนองเชิงลบต่อประเด็นดังกล่าวไปมากพอสมควรแล้ว ขณะที่ปัจจุบันมี Valuation น่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 167 บาท


ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 1.04 หมื่นล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5% จากไตรมาก่อน เพราะการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) จากการเร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของลูกหนี้ให้สะท้อนความเป็นจริงมากสุด


ทั้งนี้ คาดกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4/66 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะไตรมาส 4/65 มีการตั้งสำรองก้อนใหญ่ ขณะที่คาดลดลงจากไตรมาส 3/66 โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากค่าใช้จ่าย ทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปัจจัยฤดูกาล  และค่าใช้จ่ายสำรอง จาก KBANK ยังคงเร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์ของลูกหนี้ต่อเนื่องโดยเราคงกำไรสุทธิปี 2566-2567 คาดที่ 3.93 หมื่นล้านบาท และ 4.10 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% และ 4% จากปีก่อนตามลำดับ


อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ TRADING BUY และคงราคาเป้าหมายที่ 140 บาท เพราะมองว่า KBANK เป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ประกอบกับเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนา Digital Banking เพื่อต่อยอดธุรกิจหลักรวมถึงการเพิ่มช่องทางการเติบโตใหม่ต่อเนื่อง


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ