ส่องอนาคต OR กับ โอกาส รัฐเล็งลดค่าการตลาดกดหุ้นต่ำจอง โบรกฯ ชี้ นาทีทองน่าสะสม

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่องอนาคต OR กับ โอกาส รัฐเล็งลดค่าการตลาดกดหุ้นต่ำจอง โบรกฯ ชี้ นาทีทองน่าสะสม

Date Time: 7 ต.ค. 2566 18:00 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • ราคาหุ้นของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR เผชิญความท้าทายอย่างหนัก กดดันราคาให้ต่ำกว่าราคาไอพีโอ นักลงทุนยังกังวลหลังรัฐเล็งลดค่าการตลาด นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ เป็นโอกาสสะสม ช่วงราคาหุ้นร่วง

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR เรียกได้ว่าเป็น “Talk of the Town” ของหุ้นไอพีโอในปี 2564 หลังนักลงทุนให้ความสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยราคาเสนอขายที่ 18 บาทต่อหุ้น ทำแอปพลิเคชันบางธนาคารถึงกับ “ล่ม” ในช่วงการจองซื้อวันแรก


เช้าวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 หุ้น OR เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก ด้วยราคาเปิดที่ 26.50 พุ่งกว่า 47.22% จากราคาเสนอขาย แต่ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นหลังจากนั้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันทำระดับต่ำกว่าราคาจองซื้อแล้ว


ทั้งนี้ ราคาหุ้นของ OR ยังถูกกดดันจากความกังวลของนักลงทุน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก พบนโยบายเร่งด่วนของ “รัฐบาลเศรษฐา” คือ การลดค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม และน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการปรับลดค่าการตลาดของน้ำมันลง


ด้านผลประกอบการย้อนหลังของ OR พบว่าปี 2563 มีรายได้รวม 432,848.96 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,791.07 ล้านบาท ต่อมาปี 2564 รายได้รวมเติบโตมาที่ 515,279.67 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,474.03 ล้านบาท และปี 2565 มีรายได้รวม 793,418.24 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 10,370.40 ล้านบาท ล่าสุด OR รายงานผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้รวม 387,396.87 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,731.47 ล้านบาท


บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท คงมุมมองช่วงราคาหุ้นอ่อนตัวจากความกังวลค่าการตลาดดีเซล จะเป็นโอกาสสะสม โดยคาดว่ากำไรขั้นต้นต่อลิตรจะสามารถฟื้นตัวได้ต่อในช่วงครึ่งปีหลังที่ 1.0 บาท/ลิตร จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ราว 0.98 บาท/ลิตร จากกำไรขั้นต้นสถานีบริการน้ำมันที่ดีต่อเนื่อง และธุรกิจ Lifestyle มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตามการขยายสาขา ส่งผลให้กำไรปกติโตเฉลี่ย 15% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568


ทั้งนี้ คงมุมมองกำไรปกติไตรมาส 3/66 เติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อน และเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้ธุรกิจ Mobility ที่กำไรขั้นต้นฟื้นตัวจาก stock gain และค่าการตลาดที่รักษาระดับได้ จากภาครัฐใช้เงินกองทุนน้ำมันรับมือราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับการไม่ต่ออายุลดภาษีสรรพสามิตดีเซล กลบปริมาณขายที่ลดลงตามฤดูกาล ส่วนธุรกิจ Lifestyle คาดปริมาณขายเติบโตตามการท่องเที่ยว


อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองเชิงลบต่อการประชุมนักวิเคราะห์ จากเป้าหมายการขยายสาขาทั้ง Mobility และ Lifestyle ในระยะยาวของบริษัท จากเป็นลักษณะ conservative มากขึ้น สะท้อนการขยายตัวของตลาดในประเทศที่ทำได้ลำบากมากขึ้น ทั้งนี้หากการขยายสาขา Lifestyle ในระยะยาวเป็นไปตามเป้าของบริษัท (ประมาณการขยายเฉลี่ย 400 แห่ง/ปี) เบื้องต้นประมาณการกำไรทั้งปีและราคาเป้าหมาย อาจมี downside ราว -4%


ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในประเทศไทยและอาเซียน จะหนุนปริมาณขายของธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ให้เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/66 อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วไตรมาสที่สามจะเป็นช่วงที่อุปสงค์น้ำมันอ่อนตัวลงตามฤดูกาล ดังนั้น ปริมาณขายน้ำมันของ OR จึงมีแนวโน้มลดลงจากไตรมาสก่อน แต่ปริมาณขายจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 3/66


จากมุมมองด้านอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/66 ธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Lifestyle มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทรงตัวจากไตรมาส 2/66 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง จากแนวโน้มดังกล่าว เราคาดว่ากำไรไตรมาส 3/66 ของ OR จะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว


นอกจากนี้ คาดการณ์การเติบโตของกำไรในไตรมาส 3/66 หนุนโดยอุปสงค์ในวงกว้างที่ปรับตัวดีขึ้น และการขยายตัวจากทั้งธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Lifestyle น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีอัปไซด์ต่อประมาณการกำไร จากการลงทุนใหม่ๆ จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท


ส่วนบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า ยังคงคาดว่ากําไรสุทธิจะเติบโต 31% ในปี 2566 มาอยู่ที่ 1.36 หมื่นล้านบาท แม้กําไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานสูง แต่ค่าการตลาดที่ดีขึ้นและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลงในปีนี้ จะช่วยหนุนให้กําไรสุทธิเพิ่มขึ้น หลังจากสะดุดลงในปีก่อน


ทั้งนี้ ใช้สมมติฐานกําไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจ Mobility ที่ 1 บาท/ลิตร และ EBITDA margin ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ที่ 24.5% ยังคงราคาเป้าหมายของ OR ไว้ที่ 27 บาท หรือเทียบเท่ากับ P/E ปี 2566 ที่ 23.6 เท่า ตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยปี 2564-2565 ที่ 29 เท่า เล็กน้อย


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ