หุ้น CV "โคลเวอร์ เพาเวอร์" ชี้ซื้อ WTX ไม่ใช่ Backdoor หุ้นใหญ่พร้อมใช้สิทธิเพิ่มทุนเต็มที่

เป็นที่จับตาอย่างมากสำหรับ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เมื่อประกาศแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน จากเดิม 640 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 2,560 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,840 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อข้าลงทุนในหุ้นของ บริษัท เวสท์เทค เอ็กซ์โพเนนเชียล จำกัด (WTX)ในสัดส่วน 20% มูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 1,040 ล้านบาท โดยเป็นดีลที่ใหญ่และสำคัญอย่างมากกับ CV โดยผู้บริหารบริษัทมองว่า จะเป็นดีลที่ช่วยเติมเต็มบริษัท และช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว

เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนใน WTX นั้นจะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทเนื่องจากมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันโดยตรง WTX มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศที่เป็นสัญญาซื้อขายไฟ PPA จำนวน 1 โรง กำลังการผลิต 27 MW และสัญญาซื้อขายไฟแบบ Private PPA จำนวน 2 โรง กำลังการผลิตรวม 3.988 MW มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามจำนวน 1 โรง กำลังการผลิต 29 MW

และมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในประเทศเมียนมาอีกจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 150 MW อีกทั้ง WTX ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมที่จะได้รับ PPA อีกจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 19 MW นอกจากนี้ WTX มีโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีกจำนวน 2 โครงการ

นอกจากนี้ WTX ยังมีธุรกิจต้นน้ำ คือ ธุรกิจจัดการรถยนต์เก่า โรงแปรรูปเชื้อเพลิงแข็งสำหรับขยะอุตสาหกรรม และธุรกิจรีไซเคิลเหล็ก ซึ่งจะช่วยในการส่งเสริมธุรกิจซึ่งกันและกันกับธุรกิจของ CV (Business Synergy) และเกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ให้กับ CV ด้วย

ย้ำไม่ใช่การ Backdoor  

สำหรับการเข้าลงทุนในครั้งนี้ บริษัทขอยืนยันว่าไม่ใช่การ Backdoor โดยเป็นการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20% เท่านั้น และในขณะเดียวกัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ ของ WTX เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสธุรกิจมากกว่า ทั้งนี้ WTX หรือกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นไม่ได้มีการเข้ามาถือหุ้น CV แต่อย่างใด

CV ชี้เพิ่มทุนเพื่อระยะยาว

ทั้งนี้ในมุมของบริษัทมองว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ยอมรับว่าจะเกิดความไม่พอใจจากผู้ถือหุ้น แต่มองว่าถ้าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องยอมรับ เพราะเรามองว่าถ้าไม่เลือกที่จะลงทุนใหญ่ในเวลานี้ก็จะเป็นการแก้ปัญหาไม่จบ ดังนั้นเราเลือกที่จะใช้เส้นทางนี้ดีกว่า โดยหากดีลนี้เดินหน้าได้จริง เชื่อว่าจะสร้างความแข็งแกร่งกับบริษัทและเชื่อว่าจะทำให้บริษัทพลิกมีกำไรในปีหน้า

เดินหน้าเพิ่มทุน RO ให้ถึงที่สุดก่อน

สำหรับแผนการเพิ่มทุนบริษัท เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 1,920 ล้านบาท จากเดิม 640 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 2,560 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,840 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็น

การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Rights Offering หรือ RO) จำนวนไม่เกิน 2,560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในอัตราส่วนการจัดสรร 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ในราคาเสนอขายหุ้นละ 1.00 บาท โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมมีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินสิทธิของตนได้ (Oversubscription)

ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองสิทธิเพิ่มทุน (RO) จะได้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอแรนต์) ที่จะซื้อหุ้นสามัญของ บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ ครั้งที่ 1 (CV-W1) จำนวนไม่เกิน 1,280 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งจะออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่จองซื้อและได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน ในอัตราจัดสรร 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีอายุ 5 ปี นับจากวันที่ได้ออก 

หากยังไม่ครบถ้วน บริษัทฯ สามารถพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวนไม่เกิน 2,560 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาด โดยบุคคลในวงจำกัดดังกล่าวจะไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ 

เศรษฐศิริ เผยว่า บริษัทจะเดินหน้าเพิ่มทุน RO ก่อนเพื่อให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้ใช้สิทธิให้เต็มที่ หากในรอบแรกไม่สามารถเพิ่มทุนได้หมด ก็จะเดินทำรายการ RO ครั้งที่ 2 และ ครั้งที่ 3 ซึ่งเราคาดหวังให้การเพิ่มทุนมีความชัดเจนภายในเดือน พ.ย.นี้ แล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร

ส่วนการเพิ่มทุนแบบ PP นั้น เรายอมรับว่ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องดังกล่าวว่าจะจัดสรรให้ใคร และน่าจะเป็นออปชันสุดท้าย ทั้งนี้หากจำเป็นต้องเพิ่มทุนจริง ต้องเพิ่มกับผู้ที่สามารถ “แบกเราขึ้นบ่า” หรือ ช่วยกันเสริมสร้างบริษัทให้เติบโตระยะยาว

หุ้นใหญ่พร้อมใช้สิทธิเต็มจำนวน

สำหรับการใช้สิทธิ RO นั้น เศรษฐศิริ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่เผยว่า ในเบื้องต้นจะเดินหน้าใช้สิทธิเต็มจำนวนอย่างแน่นอน ส่วนจะใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเกินสิทธิของตน ต้องขอรอดูสถานการณ์ก่อน ทั้งนี้ในมุมของผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทหากถือตั้งแต่ไอพีโอที่ระดับ 3.90 บาท มองว่าการเพิ่มทุนนั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกับนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 (Record Date) ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 และเตรียมกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566 เวลา 10.00 น. โดยเป็นการจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์