ตลาดหุ้นไทยกำลังถูกความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อผลตอบแทนการลงทุนปรับตัวลดลง ที่ผลตอบแทนการลงทุน 20 ปีย้อนหลังเฉลี่ยอยู่ที่ 22% ต่อปี แต่ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยเหลือเพียงแค่ 1% จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ช้าลง และอุตสาหกรรมในตลาดหลักทรัพย์ที่ยังเป็นธุรกิจดังเดิม และต้องรีบในการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอีกครั้ง
ดร.ณชา อนันต์โชติกุล ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่าย KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้นสร้างผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก โดยจากข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 1% ต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของ ดัชนี MSCI World ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี โดยเป็นผลหลักจากภาพของธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ ยังคงอยู่ในธุรกิจดังเดิม มีการเติบโตที่จำกัด
ทั้งนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจไทย มีการเติบโตของ GDP ที่ลดลง จากระดับ 5% ต่อปี ลดลงเหลือ 3% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจไทยที่เป็นพายก้อนใหญ่มีขนาดเล็กลง ทำให้ธุรกิจในประเทศได้รับผลกระทบด้วย โดยธุรกิจในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในธุรกิจดังเดิม ทำให้ความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตไม่ดีนัก
สะท้อนได้จากกำไรต่อหุ้นหรือ EPS ในปี 2561 ระดับ 100 บาทต่อหุ้น ลดลงเหลือระดับ 90 บาทต่อหุ้นในปี 2565 อีกทั้งความสามารถในการทำกำไรที่สะท้อนจาก ROE ปี 2556-2560 ที่ระดับ 11% แต่ในปี 2562-2565 เหลือระดับ 3% ดังนั้นประเทศไทยต้องหาอุตสาหกรรมที่เป็นเครื่องยนต์ในการเดินหาเศรษฐกิจไทยใหม่
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในการพลิกฟื้นประเทศไทย รัฐบาลต้องเร่งสร้างการเติบโตที่มากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หรือ การใส่เงินเข้าระบบ ซึ่งจะไม่สร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจ แต่ให้เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ที่จะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว ช่วยให้พายเศรษฐกิจมีขนาดใหญ่มากขึ้น และเร่งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น
ต่างชาติไม่เข้าใจการเมืองไทย
สำหรับทิศทางของเงินทุนต่างชาตินั้น แม้ที่ผ่านมาประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว แต่เม็ดเงินต่างชาติยังไม่ไหลเข้า ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่เข้าใจการเมืองไทย ทั้งเรื่องการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อพวกเขาไม่แน่ใจและมีตลาดในประเทศอื่นๆ ที่จะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า ทำให้พวกเขาเลือกที่จะไปลงทุนในประเทศอื่นแทน
จับตานายกฯ เศรษฐา เคาะภาษีขายหุ้น
ส่วนเรื่องการเก็บภาษีขายหุ้นไทยนั้น ปัจจุบันความคืบหน้า ปัจจุบันได้ผ่านขั้นตอน ของกฤษฎีกาไปแล้ว และอยู่ในการพิจารณาของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งหากมีการเดินหน้าเก็บภาษีจริง จะกระทบต่อต้นทุนการซื้อขายของนักลงทุนบางกลุ่มเพิ่มขึ้นเท่าตัว ส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายให้ลดลง และธุรกรรมต่างๆ จะหยุดชะงัก
อย่างไรก็ตามคำแนะนำในด้านการลงทุนนั้น นักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศเพื่อหาโอกาสการเติบโต ในขณะเดียวกันในตลาดหุ้นไทยยังสามารถลงทุนได้ แต่ให้เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโตได้ดีกว่าภาพรวม