สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวขึ้นสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปรับขึ้นกว่า 26% ขณะที่เมื่อวานนี้ยังปรับตัวขึ้นต่อ ราว 0.5% อยู่ระดับ 86 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นการทำสถิติใหม่ในรอบปีนี้ และน่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน
แม้ว่าวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยย่อตัวลง จากแรงกดดันของหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีประเด็นเรื่อง ท่อน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TOP รั่ว ประกอบกับความกังวลเรื่องแนวทางการปรับลดราคา น้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้า ของรัฐบาลใหม่
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้ความเห็นในบทวิเคราะห์ว่า ประเด็นดังกล่าวที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นความกังวลระยะสั้น และน่าจะถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม สำหรับประเด็นที่น่าสนใจวันนี้ เริ่มจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นต่อ โดย WTI แตะระดับ 90 เหรียญ/บาร์เรล เกิดจากแรงกระตุ้นของการที่ OPEC+ อาจลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปี 2566 และเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ซึ่งภาวะดังกล่าวน่าจะเป็นผลดีต่อหุ้นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI มีโมเมนตัมไปต่อในกรอบ 85-100 เหรียญ ทั้งเห็นสัญญา CALL OPTION น้ำมันดิบ WTI มีปริมาณมากสุดนับแต่เดือน พฤษภาคม 2566 อยู่ที่ 1.3 แสนสัญญา และยังได้รับปัจจัยสนับสนุนมีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ คือ 1.) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% และมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 2567 2.) คาดหวังเศรษฐกิจจีนเติบโตในอนาคต และ 3.) OPEC+ อาจขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตต่อไป
ขณะที่หุ้นอิงราคาน้ำมันในประเทศไทย ราคาขยับตัวขึ้นได้น้อยกว่ามาก โดยรับแรง กดดันมาตรการลดราคาพลังงานของรัฐ และล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รอง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลด ราคาพลังงานเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2566 ว่าเรื่องหลักๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมัน และราคาไฟฟ้า
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสทรงตัวในระดับสูงต่อไป ตามปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในไทยยังต้องรอสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นจากรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ลดราคาน้ำมัน และไฟฟ้า ได้ยาก ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงสั้นในการลงทุน ยังเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์ จากทิศทางน้ำมันดิบโลกเป็นขาขึ้น อย่าง PTT, PTTEP, TOP, SPRC เป็นต้น โดยทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นในกรอบ โดยกระแสเงินหมุนสลับกลุ่มเล่น เชื่อหุ้นกลุ่มพลังงานได้อานิสงส์บวก จากทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 2% ช่วงข้ามคืน ตลาดเล่นเก็งกำไรประเด็นคาดการณ์ว่าซาอุดีอาระเบีย อาจขยายการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไปไม่เพียงแค่สิ้นเดือนหน้า แต่อาจขยายต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ ยังแนะนำ ซื้อ หุ้นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ด้วยราคาเป้าหมาย 168.00 บาท หลังราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นแรงไปแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มุมมองเชิงลบสำหรับหุ้นกลุ่มโรงกลั่นยังไม่จบ หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่เสนอนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยระบุภารกิจของรัฐบาลและกระทรวงพลังงานไม่ใช่เรื่องทำธุรกิจน้ำมัน แต่เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
ดังนั้น แนวทางถัดไป นอกจากลดราคาขายปลีก อาจจะเสนอให้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปได้เสรี เพื่อให้ราคาลดลงได้มากขึ้น แต่แนวทางนี้ บล.กรุงศรี มีมุมมองเป็นลบกับกลุ่มโรงกลั่นจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น