ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แสดงให้เห็นว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ท่ามกลางความกังวลประเด็นทางการเมืองของประเทศไทย ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ต่างมองจุดเปลี่ยนที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง หลังสภามีมติเห็นชอบให้ เศรษฐา ทวีสิน นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน จากประเด็นทางการเมืองที่มีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดี
นริศรา วิเศษโกสิน Head of Thailand Institutional Business บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าที่เป็นนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและกังวลประเด็นทางการเมืองของไทย แต่ปัจจุบันได้มีความชัดเจนมากขึ้น หลังการเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว
ทั้งนี้ มองว่าจุดเปลี่ยนที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติหันมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือ นโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลชุดใหม่ ว่าจะมีการกระตุ้นและเป็นประโยชน์ต่อภาคการลงทุนมากแค่ไหน
นอกจากนี้ ยังมองว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีขายหุ้น เนื่องจากจะทำให้ความสามารถการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยลดลง เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าว จะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจกลับมา
ด้าน ฐาปน พานิช รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ร่วมด้วย Jefferies กล่าวเสริมว่า นอกจากความชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนแล้ว นักลงทุนต่างชาติต่างจับตามองระยะถัดไป หลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น ว่าความร่วมมือในการทำงานจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และมีเสถียรภาพหรือไม่ หลังพรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์การลงทุนของตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียที่ค่อนข้างมีความน่าสนใจ ทำให้ปัจจุบันมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าไปจำนวนมาก แต่หาก Valuation ปรับตัวสูงขึ้นและเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ก็มีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลกลับเข้ามายังตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ ศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง และปัจจุบันถือหุ้นไทยในสัดส่วนที่ไม่มาก แต่หลังจากที่ประเด็นทางการเมืองมีพัฒนาการไปในทางที่ดี จากมีการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังรอติดตามต่อไปว่า คณะรัฐมนตรีและนโยบายจะออกมาเป็นอย่างไร เพื่อตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ
ขณะเดียวกัน มองว่าหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน ได้แก่ โรงแรม โรงพยาบาล และค้าปลีก จากมีอัตราผลตอบแทนที่ดี และทั้ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมนี้ยังมีราคาที่ถูกกว่าในอดีตพอสมควร จึงเชื่อว่ายังมีโอกาสสำหรับการลงทุน และเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยก็ตอบรับในเชิงบวกบางส่วนแล้ว.