นางศิริวรรณ อินทรกําธรชัย ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานบริหารการเงินบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 2/2566 มีรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 26,661.8 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.1 จาก 28,108.0 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2565 โดยหลักเป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของกลุ่ม ธุรกิจอาหารและโปรตีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาสุกรในประเทศที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสําคัญ จากการลักลอบนําเข้า ชิ้นส่วน และเนื้อสุกรอย่างผิดกฎหมาย แม้ว่าปริมาณการขายจะเพิ่มขึ้นตามแผนการขยายกําลังการผลิตของบริษัทฯ
อย่างไรก็ดี สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 รายได้รวมของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ 54,621.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จาก 54,090.5 ล้านบาท สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของ
1. กลุ่มธุรกิจเกษตร ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาขายสินค้าตามการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะที่ปริมาณการขายก็เพิ่มขึ้นเช่นกันตาม ความต้องการที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการขยายกําลังการผลิตของบริษัทฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์แห่งใหม่ ในอําเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา
2. กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ โดยหลักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์แปรรูปทั้งในประเทศกัมพูชาและลาว
3. กลุ่มธุรกิจสัตว์เลี้ยง โดยเป็นผลมาจากการสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเพิ่มขึ้นของราคาขายอาหารสัตว์เลี้ยง ขายสูงขึ้น ตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากําไรสูงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กําไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ระดับ 2,777.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 49.4 จาก 5,487.8 ล้านบาทในไตรมาส 2/2565 โดยบริษัทฯ มีอัตรากําไรขั้นต้นอยู่ที่ร้อยละ 10.5 ในไตรมาส 2/2566 ลดลงจากร้อยละ 19.6 ในไตรมาส 2/2565 และสําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 กําไรขั้นต้นของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ 6,294.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 38.3 จาก 10,206.7 ล้านบาท สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยบริษัทฯ มีอัตรากําไรขั้นต้นที่ร้อยละ 11.6 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ลดลงจากร้อยละ 19.2 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565
การลดลงของกําไรขั้นต้นและอัตรากําไรขั้นต้นดังกล่าว โดยหลักเป็นผลมาจากการลักลอบนําเข้าชิ้นส่วนและเนื้อสุกรอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลให้ราคาสุกรในประเทศปรับลดลงอย่างมีนัยสําคัญ ขณะที่ต้นทุนการผลิตสุกรยัง เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาอาหารสุกรที่เพิ่มขึ้น
ส่วนกำไรสุทธิ ในไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ระดับ 350.6 ล้านบาท เทียบกับกําไรสุทธิที่ระดับ 1,868.9 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2565 อย่างไรก็ดี สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิอยู่ที่ ระดับ 42.2 ล้านบาท ลดลงจาก 3,838.9 ล้านบาท สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 โดยบริษัทฯ มีอัตรากําไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 0.1 สําหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ลดลงจากร้อยละ 7.1 สําหรับงวด หกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 การลดลงของกําไรสุทธิและอัตรากําไรสุทธิดังกล่าว โดยหลักเป็นผลจากการลดลงของอัตรากําไรขั้นต้น แม้ว่าบริษัทฯ จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น