สถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นมีความผันผวน จากความไม่ชัดเจนด้านการเมือง ส่วนในตลาดหุ้นกู้ก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อมั่น ทั้งจากประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็น EARTH, ALL และล่าสุดคือ STARK สะท้อนจากปริมาณการซื้อขายรายวันที่เบาบาง
ทำให้นักลงทุนต่างมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในระดับดี และมีความเสี่ยงต่ำ โดยส่วนมากมักเลือกหุ้นต่างประเทศเป็นทางเลือกสำคัญ จากผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 31 ก.ค. 66 มีระดับที่ดีกว่าตลาดหุ้นไทย เช่น NASDAQ (อเมริกา) สูงถึง 37.1%, NIKKEI (ญี่ปุ่น) 27.1%, S&P500 (อเมริกา) 19.5%, HANG SENG (ฮ่องกง) 1.5% และ FTSE 100 (สหราชอาณาจักร) 3.3% ขณะที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยช่วงเดียวกันติดลบ 6.7%
ไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทย อยู่ในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเด็นด้านการเมืองที่ยังไม่มีข้อสรุป ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเพิ่งฟื้นตัวจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความกังวลสถานการณ์ในตลาดตราสารหนี้ ที่กำลังมีปัญหาอย่างต่อเนื่อง หลังหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียนบางราย ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดได้ ทำให้ความต้องการซื้อ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นกู้ลดลง
เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทที่ต้องการออกจำหน่ายหุ้นกู้รุ่นใหม่เพื่อทดแทนรุ่นเดิม (Roll over) ต้องมีการจ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนให้ความไว้วางใจกับหุ้นกู้ของบริษัทที่มีเชื่อเสียงและมีความมั่นคงมากกว่า
ดังนั้น หุ้นกู้ในบริษัทที่ไม่มีชื่อเสียง และไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Non-rated) คาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทนชุดเดิมยากขึ้น ซึ่งปัจจุบันหุ้นกู้ Non-rated ที่กำลังจะ Roll over มีมูลค่ารวมหลายหมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้มองหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ดีในความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
ไพโรจน์ กล่าวอีกว่า บล.ไอร่า มีการขยายบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการมุ่งเน้นขับเคลื่อนธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Global Trading) ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าถึงการลงทุนในหุ้น และ ETFs ทั่วโลก
โดยปัจจุบัน บล.ไอร่า มีฐานลูกค้าในกลุ่ม Global Trading ประมาณ 500-600 ราย และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ Active มากกว่า 100 ราย ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท หากแบ่งสัดส่วนกลุ่มลูกค้า Global Trading ที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ อันดับแรกจะเป็นตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ประมาณ 70%, ตลาดหุ้นฮ่องกง ประมาณ 20% และตลาดหุ้นญี่ปุ่นประมาณ 10%
การที่ บล.ไอร่าฯ หันมาให้ความสำคัญกับ Global Trading เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดดังกล่าว เพราะพฤติกรรมนักลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนไปตามเทรนการลงทุนในตลาดโลก ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเพราะการเทรดในตลาดต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่สูงและคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นไทย
ปัจจุบัน Global Trading ของ บล.ไอร่าฯ ให้บริการครอบคลุมถึงตลาดหุ้นเกือบทุกประเทศทั่วโลก สามารถดำเนินการซื้อขายได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในหุ้นแต่ละบริษัทชั้นนำระดับโลกได้โดยตรง ใช้เงินเริ่มต้นลงทุน 100,000 บาท
ปัจจุบัน บล.ไอร่าฯ มีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าของพอร์ตโดยรวมที่สนใจลงทุนในตลาดต่างประเทศ 20-30%โดยนักลงทุนส่วนใหญ่จะลงทุนหุ้นกลุ่มใหม่ๆที่อยู่ในกระแสการลงทุนของตลาดโลก เช่น กลุ่ม Artificial Intelligence (AI), กลุ่ม Semiconductors, กลุ่ม Tech Software, กลุ่ม EV (Electric Vehicle) และหุ้นกลุ่มที่มีความอย่างยั่งยืน (ESG) ซึ่งจากสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทฯตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนนักลงทุน Global Trading เป็น 30% ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 10% ของมูลค่า Commission ทั้งพอร์ต
ผู้บริหาร บล.ไอร่าฯ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า บล.ไอร่าฯ เป็นหนึ่งในธุรกิจกลุ่มการเงิน บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ AIRA ที่ได้รับความสนใจและความเชื่อมั่นจากบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ล่าสุดเตรียมผนึกกำลังกับตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (Tokyo Stock Exchange : TSE) และ Sumitomo Mitsui Trust Asset Management ในการจัดงานสัมมนาเพื่อแนะนำให้นักลงทุนไทยรู้จักและเข้าไปลงทุนในตลาดญี่ปุ่นมากขึ้น
จากปัจจัยบวกครั้งนี้ จะทำให้ “ไอร่า กรุ๊ป” มีผลิตภัณฑ์และบริการจากต่างประเทศที่หลากหลายมากขึ้น ที่สำคัญสามารถขยายฐานกลุ่มนักลงทุนในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้มากขึ้นด้วย เนื่องจาก Tokyo Stock Exchange เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่และเป็นที่รู้จักของกลุ่มนักลงทุนทั่วโลก ดังนั้นเชื่อว่าการผนึกกำลังในครั้งนี้จะช่วยดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าในประเทศไทยได้มากยิ่งขึ้นด้วย