บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 1.0 พันล้านบาท ลดลง 36.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากรายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินการตามปกติของธุรกิจ ได้แก่ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เครดิตภาษีเงินได้ที่ลดลง รวมถึงผลกระทบจาก Dilution effect ของบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ซึ่งถูกชดเชยบางส่วนด้วยส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster ที่ลดลง และรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในไตรมาสก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของกำไรจากการดำเนินงาน โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ 3.0%
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานที่ 1,777 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% พร้อมทั้งสามารถรักษาระดับกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งที่ 3,319 ล้านบาท จากกลยุทธ์ในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนสุทธิที่ดีขึ้น โดยไทยยูเนี่ยนบันทึกอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 16.9% คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะมีการปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนยอดขายไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 34,057 ล้านบาท ลดลง 12.6% เมื่อเทียบกับยอดขายที่แข็งแกร่งในปีก่อนหน้า เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกยังมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ในระดับสูง ประกอบกับการขนส่งสินค้าปรับตัวสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าชะลอตัวลง
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กล่าวว่า เราเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในหลายๆ ตลาดทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2566 และถึงแม้ว่าบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายในช่วงครึ่งปีแรก งบดุลของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 0.64 เท่าในไตรมาส 2 ต่ำกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ที่ 1.0 เท่า ส่งผลให้เราสามารถจ่ายปันผลได้ คิดเป็นอัตราจ่ายการปันผลสูงถึง 70.3%ของกำไรสุทธิ
โดยปกติไตรมาส 2 ของทุกปี ยอดขายจะสูงขึ้นเป็นปกติเนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายในยุโรปเติบโตได้ดี มีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาส 2 สูงขึ้น 4.3% และกำไรสุทธิสูงขึ้น 0.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่บริษัทได้คาดการณ์ว่าเป็นไตรมาสที่อ่อนตัวที่สุด รวมถึงกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 16.9% อยู่ที่ 5,748 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 17,136 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.3% นับเป็นยอดขายประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผลมาจากราคาขายที่สูงขึ้นและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป สินค้าแบรนด์ต่างๆ ภายใต้บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
เรด ล็อบสเตอร์ ธุรกิจร้านอาหารทะเลระดับโลกที่ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำผลงานได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หลังจากที่แผนพลิกฟื้นธุรกิจได้ส่งสัญญาณบวก โดยมีส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 94 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 ของปี 2565 ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 281 ล้านบาท
“ในช่วงครึ่งปีหลัง ไทยยูเนี่ยนจะเดินหน้าแผนและมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไร โดยมุ่งบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน พร้อมลดต้นทุนในการผลิต เรายังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถทำผลงานได้ดีในระยะยาว และเมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange 2030 ที่ตั้งเป้าหมายยาวไปถึงปี 2573 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก โดยเรามีการจัดสรรงบประมาณ 7,200 ล้านบาท เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อผู้คนและโลกของเราอีกด้วย” นายธีรพงศ์กล่าว