บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ประเมินว่า จาก มาตรการสนับสนุนจากกระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย , และสมาคมธนาคารไทย ทั้งนี้บล.ได้เชิญธนาคารไทย 5 แห่งภายใต้การวิเคราะห์ของเราเข้าร่วมงาน TISCO’s Corporate Day เพื่อพบกับกองทุนสถาบันในประเทศกว่า 12 แห่ง โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจและการอภิปรายดังนี้ ทุกธนาคารถูกถามเกี่ยวกับมาตรการนี้ จากความคิดเห็นของธนาคารหลายแห่ง คาดว่าจะมีมาตรการร่วมกันจาก คลัง, ธปท และ สมาคมธนาคารไทย ออกมาในเร็ว ๆ นี้
ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยกลุ่มลูกค้าที่ยังเปราะบาง โดยธนาคารจะช่วยลดอัตราดอกเบี้ยให้ และหน่วยงานกำกับดูแลจะช่วยอุดหนุนบางส่วนผ่านการลดค่าใช้จ่าย FIDF ส่งผลให้ NIM ได้รับผลกระทบในเชิงลบ อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตที่ลดลง และบางธนาคารเชื่อว่าผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะเป็นบวกในระยะกลาง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารทุกแห่งเน้นย้ำจุดยืนที่ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอ่อนแอ พวกเขาทั้งหมดกล่าวถึงการควบคุมต้นทุน (ทั้งต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) เพื่อช่วยรักษากำไรสุทธิในช่วงที่รายได้อาจไม่เติบโต อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารที่มีต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิตสูงในปีนี้ ธนาคารกสิกรไทย KBANK/ ธนาคารเกียรตินาคิน หรือ KKP คาดว่าจะมีโอกาสลดต้นทุนด้านนี้ลงในปีหน้า เราเลือก TTB และ SCB เป็นหุ้นแนะนำ โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 2.20 บาท และ 121.00 บาทตามลำดับ
บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 4 ปี 2567 มีทิศทางอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้จะยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสำคัญที่กดดันผลประกอบการคือค่าใช้จ่ายดำเนินงาน (OPEX) ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในธนาคารขนาดใหญ่ รวมถึงแรงกดดันจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่ลดลง เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ด้านค่าใช้จ่ายด้านสำรองหนี้สูญ มีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน เมื่อพิจารณาแบบรายธนาคาร ธนาคารกรุงไทย (KTB) และธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) มีโอกาสเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม เนื่องจากฐานกำไรที่ต่ำในไตรมาส 4 ปี 2566 ส่งผลให้ตัวเลขเติบโตดูเด่นชัดขึ้น
อย่างไรก็ตามในการเติบโตของกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปี 2567 และ 2568 ไว้ที่การเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี โดยมูลค่ากำไรสุทธิรวมอยู่ในช่วง 230,000-240,000 ล้านบาท การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐในปีหน้า คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อความต้องการสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อภาครัฐบาล ซึ่งจะส่งผลดีต่อธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกรุงไทย (KTB)
อย่างไรก็ตาม กลุ่มสินเชื่อรายย่อยยังคงเป็นความท้าทาย แม้ว่าจะเห็นการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง แต่ขนาดของสินเชื่อกลุ่มนี้เมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวมยังค่อนข้างเล็ก จึงไม่สามารถทดแทนสินเชื่อประเภทอื่น เช่น สินเชื่อบ้านและรถยนต์ ที่ยังคงได้รับแรงกดดันจากนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรในปี 2568 อยู่บนสมมติฐานว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นการตัดสินใจท่ามกลางความผันผวนของ Bond Yield สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับขึ้น นอกจากนี้ การเตรียมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่กำลังจะประกาศอย่างเป็นทางการ อาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Loan) ในระดับสูง เช่น BBL, KTB และ KBANK
ถึงแม้การลงทุนจากภาครัฐในปีหน้าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ แต่ความไม่สมดุลของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกยังคงสร้างข้อจำกัดต่อการเติบโตในภาพรวมของกลุ่มธนาคาร ความท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการ NIM และการเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุม OPEX ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายด้าน
ธนาคารที่มีความสามารถในการปรับตัวและเน้นการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีความต้องการสูง เช่น สินเชื่อภาครัฐและรายใหญ่ จะมีโอกาสโดดเด่นมากกว่าในภาพรวม ขณะที่สินเชื่อรายย่อยยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่