ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่า บริษัทที่มีผลประกอบการรายได้ และกำไร เติบโตต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งอาจะสะท้อนความแข็งแกร่ง และความสามารถในการทำธุรกิจ โดยประกอบด้วย บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 บริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) JMT และ บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) HUMAN
มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2561 รายได้ 27,963.12 ล้านบาท กำไรสุทธิ 891.06 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 33,390.19 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,216.32 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 37,352.90 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,490.68 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 51,154.66 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,630.39 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 63,025.62 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,037.71 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รายได้ 17,309.09 ล้านบาท กำไรสุทธิ 873.72 ล้านบาท
มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2561 รายได้ 3,082.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 811.29 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 3,345.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 869.53 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 3,595.61 ล้านบาท กำไรสุทธิ 883.06 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 4,414.38 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,202.80 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 5,623.60 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,512.14 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รายได้ 1,546.05 ล้านบาท กำไรสุทธิ 402.80 ล้านบาท
มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง ดังนี้
ปี 2561 รายได้ 1,137.38 ล้านบาท กำไรสุทธิ 482.03 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 1,485.56 ล้านบาท กำไรสุทธิ 545.68 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 1,888.27 ล้านบาท กำไรสุทธิ 736.29 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 2,619.48 ล้านบาท กำไรสุทธิ 859.01 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 3,520.15 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,301.78 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รายได้ 796.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 256.19 ล้านบาท
มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง คือ
ปี 2561 รายได้ 1,885.83 ล้านบาท กำไรสุทธิ 505.52 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 2,536.36 ล้านบาท กำไรสุทธิ 681.36 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 3,206.83 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,047.04 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 3,656.20 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,400.37 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 4,468.39 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,745.57 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รายได้ 1,164.19 ล้านบาท กำไรสุทธิ 453.07 ล้านบาท
มีผลการดำเนินงานย้อนหลังดังนี้
ปี 2561 รายได้ 523.23 ล้านบาท กำไรสุทธิ 121.91 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 613.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 146.98 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 740.35 ล้านบาท กำไรสุทธิ 165.75 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้ 770.49 ล้านบาท กำไรสุทธิ 169.82 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 1,073.50 ล้านบาท กำไรสุทธิ 180.92 ล้านบาท
ไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รายได้ 311.42 ล้านบาท กำไรสุทธิ 62.41 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามสำหรับทิศทางของการเติบโตนั้นยังมีหลายบริษัทที่มีโอกาสจะสร้างสถิติการเติบโตในปีนี้ต่อเนื่อง โดยในรายของ COM7 นั้น บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้มุมมองกับหุ้น COM7 ว่า กำไรของ COM7 จะอยู่ที่ 764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะลดลง -13% จากไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา ทำให้กำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท คิดเป็น 47% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา ทั้งนี้เราคาดว่ายอดขายในไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ 1.65 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นจะเป็นเพราะมีการขยายสาขาร้าน จาก 1,031 ร้าน เมื่อสิ้นงวดไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา เป็น 1,284 ร้าน (เมื่อสิ้นงวด 1Q66) และการเข้าซื้อกิจการ (เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ Bebe Phone และการจำหน่ายอุปกรณ์เสริมที่ใช้ house brand)
ทั้งนี้สำหรับกำไรของ COM7 จะฟื้นตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงมองว่าประมาณการกำไรปี 2566 ของเรามี upside จำกัด เพราะกำไรในงวดครึ่งปีแรกน่าจะคิดเป็นเพียง 47% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น COM7 ตกลงมาแล้วประมาณ 25% จากต้นปีนี้ และ underperform ดัชนี SET อยู่ถึง 14% ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่ราคาหุ้น COM7 อยู่ในช่วง PER ที่สมเหตุสมผลที่ 17x อิงจากราคาปิดล่าสุดเท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต -1.5 S.D. และคิดเป็น PEG ที่ประมาณ 1.3x เราประเมินราคาเป้าหมายของ COM7
ด้าน JMT ที่เติบโตย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนี้การเติบโตอย่างชะลอตัวลง โดย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ประเมินว่า เราคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ที่ 523 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อน และ 15% จากไตรมาสก่อน จากการจัดเก็บเงินสดได้เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม JK AMC เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มไตรมาสที่ 3 นั้น เรายังคาดกำไรเติบโตต่อเนื่องอีก 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากไตรมาสที่ 2 และภาพรวมกำไรปี 2023 จะเติบโต 20% จากปีก่อน ส่วนการซื้อหนี้ก้อนใหญ่ 6 หมื่นล้านบาท ในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ทำให้เราประเมินว่าภาพรวมการเติบโตของกำไรเฉลี่ยปี 2023-2025 จะชะลอตัวลงเป็นเฉลี่ยที่ 19% ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ PER ราว 27 เท่า ซึ่งคิดเป็น PEG ที่ 1.4 เท่า ถือว่าค่อนข้างตึงตัว ทั้งนี้ ROE ปี 2023 คาดที่ 9.1% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2018-2022 ที่ 16.1% อีกด้วย โดยเรายังคงให้คำแนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 38 บาท.