ชีวิตที่ยืนยาว เป็นความฝันของใครหลายคนที่ต้องการมีชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้ มีสุขภาพที่ดี และมีผิวพรรณที่ดีด้วย ดังนั้นการดูแลตัวเอง หรือ เฮลท์ แอนด์ เวลเนส จึงเป็นเทรนด์ธุรกิจของอนาคต และมีการเติบโตที่สูงมาก ไม่ใช่แค่เพียงในตลาดโลก แต่ในประเทศไทยด้วย
ธุรกิจเสริมความงามในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการดูแลผิว การชะลอวัย การฉีด และการทำศัลยกรรม ด้วยความสามารถของหมอไทยที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ส่งผลให้ธุรกิจในด้านนี้อยู่ในสายตานักลงทุนเสมอ โดยเฉพาะ บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา
KLINIQ มองว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่องและบริษัทเตรียมที่จะต่อยอดจากคลินิกด้านความงามไปยังโรงพยาบาลด้านศัลยกรรมในอนาคต
ลูกค้าไม่กังวลเรื่องราคา
นาย อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ เปิดเผยกับ Thairath Money ว่า ตลาดความงามและสุขภาพในปีนี้ยังเติบโตได้ดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่อาจชะลอหรือภาวะเงินเฟ้อจะเข้ามากดดัน แต่ด้วยกระแสของคนที่ดูแลตัวเองมากขึ้น และต้องการความเยาว์วัย ดูดีและดูแลภาพลักษณ์ตลอดเวลา ทำให้ความต้องการในส่วนนี้มีมาก
“ธุรกิจด้านความงามยังมีการเติบโตที่ดีมาก แม้จะมีปัจจัยที่เข้ามากระทบทั้งเงินเฟ้อ หรือ ของแพง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมกะเทรนด์ ที่ผู้คนให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน”
โดยลูกค้าด้านความงามจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าในฐานแมส โปรดักต์ หรือ ลูกค้าทั่วไป ที่จะมีความกังวลในเรื่องราคาสูง ตลาดในกลุ่มนี้จะมีการแข่งขันรุนแรง และมีการเปลี่ยนคลินิกที่ง่าย ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มลูกค้าของ KLINIQ เป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนจะไม่เซนซิทีฟในเรื่องของราคา
พวกเขาให้ความสำคัญกับคุณภาพของการให้บริการที่มีมาตรฐานการให้บริการที่สูง การดูแลและการใส่ใจลูกค้าที่มากกว่าคลินิกปกติ พวกเขายอมจ่ายแพงกว่าปกติ 10-15% เพื่อให้ได้รับการบริการแบบโรงแรม 5 ดาวมากกว่า ต้องการการดูแลจากทีมแพทย์ และการบริการที่ใกล้ชิด ทำให้ลูกค้าอยู่กับเรายาวนาน และมีลูกค้าหลายรายที่อยู่กับเรามากกว่า 10 ปี ดังนั้น จึงไม่ส่งผลกระทบทางบริษัท ซึ่งหน้าที่ของเรา คือ การหาบริการที่ลูกค้าพึ่งพอใจให้ได้มากที่สุดซึ่งจากการพูดคุยกันในกลุ่มธุรกิจด้านคลินิกด้านความงามที่เน้นลูกค้าระดับบนนั้นจะมีการเปลี่ยนคลินิกที่น้อยมาก
ส่วนเทรนด์ของ ของการทำหน้าที่ประเทศเกาหลี ซึ่งเรามองว่าเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม โดยในกลุ่มนั้นจะเน้นนิยมการทำศัลยกรรมใหญ่มากกว่า และจะมีการทำผิวหรือการฉีดเป็นของแถมด้วย ซึ่งในด้านราคาของกลุ่มนี้นั้นจะถูกกว่าการทำในประเทศไทย ครึ่งต่อครึ่ง เลยมักจะเป็นของแถมให้กับลูกค้าที่ไปทำหน้าในต่างประเทศเกาหลี
แม้ภาวการณ์เติบโตในกลุ่มความงามยังถือเป็นเมกะเทรนด์ แต่ก็มีช่องว่างใหม่ที่ KLINIQ ให้ความสนใจ โดยเฉพาะ ความงามของผู้ชาย ที่ตลาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีใครที่ยึดครองตลาด โดย อภิรุจ มองว่า ตลาดนี้ คือ โอกาส และบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการให้บริการคลินิกความงามสำหรับผู้ชาย โดยมองว่าเป็นตลาดที่เปิดกว้างและเทรนด์ของผู้ชายในยุคใหม่ ให้ความสำคัญในด้านภาพลักษณ์มากขึ้น
“เราให้ความสนใจในตลาดความงามของกลุ่มผู้ชายเพราะเป็นตลาดที่กว้างมากและยังไม่มีคู่แข่งที่มากนัก และในขณะเดียวกัน ผู้ชายในยุคใหม่ดูแลตัวเองมากขึ้น โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้”
ทั้งนี้ตลาดความงามของกลุ่มผู้ชายที่เราให้ความสนใจในช่วงแรก คือ ด้านการฉีด หรือ งานผิวที่บริษัทมีความถนัด ส่วนการให้บริการนั้นยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่า สามารถใช้ร่วมกับคลินิกปัจจุบันได้หรือไม่ หรือ จะมีการแยกสาขาออกมาต้องพิจารณากันอีกครั้ง
นอกจากความถนัดในเรื่องของการฉีดและเสริมความงามแล้ว KLINIQ ยังต้องการสร้างการเติบโต ผ่านการให้บริการด้านศัลยกรรม โดยปัจจุบัน บริษัทมีศูนย์ศัลยกรรม THE KLINIQUE ตั้งอยู่ที่ สยามสแควร์ โดยปัจจุบันมีการให้บริการ 4 ห้อง โดยมีอัตราการใช้การบริการ 20% เป้าหมายของบริษัทการเพิ่มอัตราการใช้บริการให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเติบโตก็พร้อมที่จะปรับเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรม โดยปัจจุบันเรามีสัดส่วนรายได้จากศูนย์ศัลยกรรมประมาณ 5% ของรายได้ทั้งหมด
และหากเราสามารถเพิ่มอัตราการใช้บริการถึงระดับ 50% บริษัทจะมีการปรับการให้บริการใหม่ ด้วยการเดินหน้าเป็นโรงพยาบาลด้านศัลยกรรม โดยเมื่อวันที่ 17 พ.ค. นั้น บริษัทได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการจัดตั้งบริษัทย่อย บริษัท โรงพยาบาลเดอะคลีนิกค์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 แสนบาท เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่ง จะเป็นอีกขาหนึ่งที่ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในอนาคต โดยจะเป็นการ “เติมเต็ม” การให้บริการกับลูกค้านอกเหนือจากงานผิว เข้ามาที่งานศัลยกรรมมากขึ้นจะเป็นฐานรายได้ที่สำคัญอีกฐานหนึ่งในอนาคต
อย่างไรก็ตามสำหรับแผนการเติบโตในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตจากปีก่อน 30% โดยจะโฟกัสในการเพิ่มสาขาใหม่ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ รวมถึงการเพิ่มผู้ใช้บริการด้านคลินิกศัลยกรรม ให้ถึง 50% เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว