ศรีสวัสดิ์ รับต้นทุนดอกเบี้ยพุ่งไม่หยุด ทำความสามารถทำกำไรลดลง พร้อมเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในขาขึ้น และทรงตัวในระดับสูง ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทการเงินหลายแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจให้บริการสินเชื่อต่างๆ ขณะที่การแข่งขันของธุรกิจให้บริการสินเชื่อเป็นไปอย่างดุเดือดตลอดช่วงที่ผ่านมา แม้การเข้ามาของผู้เล่นรายใหญ่จะเพิ่มขึ้น แต่ถือว่าการแข่งขันจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภคให้มีทางเลือกมากขึ้นเช่นกัน

นางสาวธิดา แก้วบุตตา นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า ปัจจุบันต้นทุนการเงิน (Cost of Fund) ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่อยู่ในระดับสูง แต่เชื่อว่ายังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรสุทธิช่วงไตรมาสที่ 2/66 ไม่มากนัก จากพอร์ตสินเชื่อจากลูกค้าเดิมที่ยังมีอยู่ขนาดใหญ่ และพอร์ตสินเชื่อใหม่ยังเข้ามาไม่มาก

โดยแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นคาดว่าจะอยู่ในระดับสูงสุด (พีก) ในช่วงไตรมาสที่ 3/66 ซึ่งยังต้องติดตามต่อว่าจะทรงตัว หรือจะปรับตัวลดลงหรือไม่ อย่างไรก็ดี บริษัทมีวงเงินในการออกหุ้นกู้ (Bond) ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสามารถนำไปใช้สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจต่อไปได้ และเชื่อว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังเติบโตได้ตามมูลค่าพอร์ตสินเชื่อที่เติบโตขึ้น

อย่างไรก็ดีมองว่าตลาดของธุรกิจสินเชื่อยังมีขนาดใหญ่ แม้การแข่งขันจะอยู่ในระดับสูง จากมีผู้เล่นรายใหญ่อย่างธนาคารพาณิชย์เข้ามาในตลาดนี้ด้วย แต่การเติบโตส่วนมากของธุรกิจในอุตสาหกรรมมาจากการแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาจากหนี้นอกระบบ ซึ่งธุรกิจ Non-bank ก็มีส่วนช่วยในการให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทมีความพร้อมในการปรับตัว และดำเนินธุรกิจรับกับการแข่งขันในปัจจุบัน

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/66 จะเติบโตในทิศทางระนาบเดียวกันจากไตรมาสก่อน (flat) หลังสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ประกาศกำหนดกรอบอัตราดอกเบี้ย (แท้จริง) สูงสุดในอัตราใหม่ ทำให้บางผลิตภัณฑ์ที่มีผลตอบแทนสูง (High yield) เช่น สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ มีผลตอบแทนลดลง โดยบริษัทมีแผนหารายได้จากผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มเติมเพื่อทดแทน พร้อมมีแนวทางการบริหารจัดการต้นทุนให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทมีการลงทุนผ่านบริษัทย่อยเพื่อทดลองตลาดสินเชื่อที่เวียดนามในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 100 สาขา เชื่อว่าจะมีศักยภาพการเติบโตที่ดีในอนาคต เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศขนาดใหญ่ ขณะที่คุณภาพหนี้อยู่ในระดับที่ดี จากอัตราหนี้เสีย (NPL) ในช่วงโควิดไม่สูงมาก และอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งบริษัทมีแผนบุกตลาดเวียดนามอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากนี้

บริษัทยังคงเป้าหมายปี 2566 เดิมที่รายได้เติบโต 20-30% และขยายสาขาใหม่เพิ่ม 300 สาขา พร้อมพิจารณาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้ในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเปิดสาขาด้วย ซึ่งจะทำให้มีการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมากขึ้น รวมถึงมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี และมีแผนการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่าย ทำให้เชื่อว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกันได้

ส่วนอัตราหนี้เสีย (NPL) คาดว่าอาจมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตามการเติบโตของขนาดพอร์ตสินเชื่อ โดยจะควบคุมให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ราว 2.5% ด้วยนโยบายการติดตามหนี้สินและดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด แต่จะต้องติดตามภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจด้วยในช่วงครึ่งหลังของปี

น.ส.ธิดา กล่าวอีกว่า สำหรับการซื้อหุ้นสำมัญของ บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด จำนวน 4,900,000 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 49% ของหุ้นทั้งหมด คืนจากธนาคารออมสินตามสัญญา มองว่าปัจจุบันขนาดพอร์ตสินเชื่อมีการเติบโตขึ้นจากเดิมมาก และฐานลูกค้าปัจจุบันมีขนาดใหญ่ขึ้น หรืออยู่ราว 1 ล้านราย ซึ่งเป็นลูกค้าระยะยาว-กลางของบริษัท จะทำให้บริษัทเติบโตได้จากต้นทุนคงที่ (Fix cost) จะอยู่ในระดับเดิม โดยยืนยันว่าไม่กระทบต่อภาพรวมการบริหาร เนื่องจากยังได้รับการสนับสนุนจากธนาคารออมสิน และสามารถใช้บริการที่สาขาของธนาคารออมสินได้เช่นเดิม

ขณะเดียวกัน บริษัทอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียน ตามทิศทางของต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่จะปรับขึ้นไม่เกิน 18% ตามนโยบายของธนาคารออมสิน อย่างไรก็ดี จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีผลกระทบกับลูกค้าเดิมที่ได้ทำสัญญาไปแล้ว