บลจ.กรุงศรี มองหุ้นไทยปี 66 เคลื่อนไหวที่ 1,740 จุด พร้อมแนะธีมลงทุนหุ้นจีน หุ้นพลังงานสะอาดทั่วโลกน่าสนใจ
นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงเนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และภาคธนาคารมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงตัวอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่งและมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลังจากผลของฐานสูงในปีที่แล้ว ตัวเลขที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงานบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความสามารถในการใช้จ่าย และการบริโภคจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป รวมทั้งส่งผลดีต่อการเติบโตของภาคการผลิตเช่นกัน
นอกจากนี้ การเปิดประเทศของจีนเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และรัฐบาลจีนมีแนวโน้มที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง การเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน การชะลอตัวของเงินเฟ้อ การคลี่คลายของปัญหาในภาคอุปทาน การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น
ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผลกระทบอื่นๆ จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก การกีดกันการค้า ความผันผวนของค่าเงิน สงคราม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม บลจ.กรุงศรี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นต่างประเทศที่ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับไม่แพง ขณะที่แรงกดดันจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมีแนวโน้มลดลงหลังจากเงินเฟ้อเริ่มมีทิศทางชะลอตัวลง และโอกาสการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐทำให้ภาคธนาคารพาณิชย์ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรปมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลบวกต่อหุ้นโดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี
สำหรับการลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะฝั่งเอเชียที่เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นนั้นมีความน่าสนใจมากกว่าตลาดประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากสหรัฐฯ และยุโรปยังมีความผันผวนสูงจากภาคธนาคารพาณิชย์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB และ FED ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดอยู่
ส่วนมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าใกล้การยุติการขึ้นดอกเบี้ยและอาจจะกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า (2567) อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนักลงทุนบางส่วนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เป็นต้นไป เนื่องจากความตึงเครียดในภาคสถาบันการเงิน
หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง จะช่วยหนุนผลตอบแทนของตราสารหนี้ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศ ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับน่าดึงดูดใจ (ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 US Investment grade corporate bond index ให้ Yield to maturity อยู่ที่ราว 5.45% ต่อปี)
เศรษฐกิจไทยยังโตต่อ คาดดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 1.75%-2.00%
นายศิระ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าที่คาดจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยว ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นตามภาคการผลิตที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2566 คาดว่า กนง. จะยังคงทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปสู่ระดับอย่างน้อย 1.75%-2.00% ในปี 2566 ขึ้นกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย
สำหรับการลงทุนหุ้นไทยในระยะสั้นจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศ จนกว่านักลงทุนจะคลายความกังวลต่อวิกฤติการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ส่วนในระยะกลางและระยะยาวตลาดหุ้นไทยจะตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ได้รับประโยชน์ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเลือกตั้งทั่วไป
โดยแนวโน้มของดัชนี SET Index ยังคงขึ้นอยู่กับบรรยากาศการลงทุนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าปัญหาของภาคธนาคารในประเทศตะวันตกจะไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินไทยก็ตาม ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดไทยกว่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้
"ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ตามทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ คาดว่ายังเติบโตดีกว่าปีก่อน และหากปัญหาในเศรษฐกิจต่างประเทศคุมได้จะส่งผลดีการส่งออกที่ปรับตัวดี จะเป็นบวกต่อการส่งออกไทย เป็นอัพไซด์เพิ่มต่อเศรษฐกิจไทยรวมถึงตลาดหุ้นไทยในปีนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงเงินลงทุนต่างชาติ น่าจะเริ่มไหลกลับมา เรายังคงมุมมองดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้ไว้ที่ 1,740 จุดและมีกรอบล่างอยู่ที่ 1,520 จุด"
ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2566 ยังคงมีความผันผวนของผลตอบแทนในช่วงดอกเบี้ยไทยเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับขอบบนของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 3.00
ทั้งนี้ กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนจะช่วยลดความผันผวนของตลาดได้ และการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนเชิงรุกจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มในกับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี
ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้
นายศิระ กล่าวอีกว่า ธีมการลงทุนเราให้มุมมองการลงทุนในหุ้นจีนเนื่องจากเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่ง และตลาดหุ้นจีนมักไม่เคลื่อนไหวไปตามการปรับตัวของตลาดหุ้นอื่นๆ และการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มีแบรนด์แข็งแกร่งเนื่องจากมีแนวโน้มการเติบโตของรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ ซึ่งมีความเหมาะสมในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง รวมทั้งการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐทั่วโลก
นอกจากนี้ นโยบายการเงินที่กลับทิศ (Policy U-turn) ซึ่งรวมถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ยและความน่าจะเป็นที่สูงขึ้นในการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มส่งผลให้หุ้นเติบโตและหุ้นเทคโนโลยีกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง หลังจากที่เผชิญแรงกดดันจากอัตราคิดลด (Discount rate) และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นในปีที่ผ่านมา จนปรับตัวลดลงมาซื้อขายในระดับไม่แพง
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงหลักในปี 2566 ได้แก่ ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยจากการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมาเป็นระยะเวลานาน ต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน และการชะลอตัวของภาคการบริโภค
ตั้งเป้า AUM ปีนี้ที่ 6 แสนล้าน
ด้านนางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า ปี 66 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร หรือ AUM ที่ 6 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 65 อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท หรือเติบโตกว่า 10% และเชื่อว่าจะยังครองส่วนแบ่งตลาดในส่วนกองทุนรวมอยู่ในอันดับ 5 ของอุตสาหกรรมกองทุนค่อไป
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทเรายังพร้อมสานต่อแผนธุรกิจซึ่งขับเคลื่อนภายใต้ One Retail ซึ่งเป็นการผสานความร่วมมือระหว่างบริษัทในกลุ่มกรุงศรีด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง พร้อมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายและการหาช่องทางการขายใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและมอบประสบการณ์การลงทุนที่ดีให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปี 66 ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรี The One (KF1MILD, KF1MEAN, KF1MAX) ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุน เพื่อเป็นทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทนจากการคัดสรรกองทุนเด่นเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุนของกรุงศรี The One เหมาะสำหรับการถือเป็นพอร์ตการลงทุนหลัก และจะมีการเสนอขายกองทุนใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม
ส่วนของการให้บริการ บริษัทมีแผนการพัฒนาระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมให้กับผู้ลงทุน เช่น การจองงานสัมมนาผ่านระบบออนไลน์ การเปิดบัญชีออนไลน์สำหรับลูกค้า IP การขายกองทุน RMF ผ่านช่องทางออนไลน์ การผูกบัตรเครดิตและซื้อกองทุนแบบ Real Time รวมทั้งเพิ่มช่องทางในการชำระเงินร่วมกับพันธมิตร เป็นต้น