รอตั้งรับ!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 13 มี.ค.66 ปิดที่ 1,573.07 จุด ลดลง 26.58 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 79,662.39 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,193.40 ล้านบาท

บล.ทิสโก้ ชี้กรณีธนาคาร SVB ในสหรัฐฯประสบปัญหาคนฝากแห่ถอนเงิน Bank run จนถูกทางการสั่งปิด ปัญหาของ SVB คือขาดสภาพคล่อง โดย SVB ปล่อยกู้ให้ลูกค้าที่เป็น Startup ทำให้เงินสดที่กลับเข้ามาใน SVB น้อยและไม่สม่ำเสมอ ประกอบกับบริษัทมีผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย ทำให้มีเงินฝากไหลออกเรื่อยๆ เพราะดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้นต่อเนื่องตามการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed

ขณะที่ธนาคารในไทยจะไม่เจอปัญหาเหมือนกับ SVB เนื่องจากธนาคารไทยมีสภาพคล่องเยอะมาก, รายได้ที่เป็นเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ, การย้ายเงินฝากไปหาผลตอบแทนที่ดีกว่าไม่จูงใจ, พอร์ตการลงทุนของธนาคารรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนสม่ำเสมอ, มีเงินกองทุนที่สูง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นการเก็งกำไรอาจเสี่ยงเกินไป แนะนำเพิ่มการถือเงินสดบางส่วน รอความชัดเจนของสถานการณ์ก่อน ขณะที่พอร์ตการลงทุน แนะทยอยตั้งรับแต่อาจไม่ต้องรีบร้อน ยังชอบหุ้นแบงก์ขนาดใหญ่ทั้ง BBL, KBANK, SCB

ขณะที่ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองราคาหุ้น KBANK ปรับตัวลงจนระดับ Valuation เหลือเพียง PBV 0.6 เท่า และมี XD รออยู่วันที่ 17 เม.ย. หุ้นละ 3.50 บาท ให้ Dividend Yield 2.7%

ส่วน บล.เอเซียพลัส ชี้ว่ากระแส SVB Bank ล้มละลาย กดดันตลาดหุ้นโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงนี้ แต่คาดว่ากระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด สะท้อนได้จากการเกิดปัญหาเกิดจากดอกเบี้ยสหรัฐฯถูกเร่งขึ้นมาเร็วกว่า 4.25% ในช่วง 1 ปี จาก 0.5% จนล่าสุดอยู่ที่ 4.75% ขณะที่ดอกเบี้ยไทย ธปท.อยู่ที่ 1.75% ต่ำกว่าสหรัฐฯมาก ทำให้ประสบปัญหาการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและต้นทุนการเงินที่น้อยกว่าสหรัฐฯมาก ตลาดประเมินว่าเฟด อาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 22 มี.ค.นี้

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินระยะสั้นหุ้นไทยอาจปรับตัวลดลงต่อได้ หากมีกระแสข่าวแบงก์อื่นๆได้ผลกระทบลุกลามต่อเนื่อง ซึ่งให้กรอบแนวรับ 1,560-1,550 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,585-1,590 จุด แนะชะลอลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะคาดว่าตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ รอสะสมหุ้นที่คาดว่าปรับตัวดีจากแรงซื้อที่เข้ามาในช่วงนี้ ในกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มผันผวนน้อยกว่าตลาด เช่น กลุ่มโรงพยาบาลและโรงไฟฟ้า เป็นต้น.

อินเด็กซ์ 51