หุ้นกลุ่มสถานีบริการน้ำมันกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพิ่งอนุมัติการปรับค่าการตลาดของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ให้กลับเข้าสู่ระดับปกติที่ประมาณ 2.00 บาท/ลิตร ทำให้ค่าการตลาดฟื้นตัวแรงในไตรมาส 1/66 ปัจจุบัน (1-7 มี.ค. 66) ค่าการตลาดปรับตัวขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.08 บาท อ้างอิงจากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน จากเดิมในปีก่อนเฉลี่ยที่ 1.78 บาท ส่งผลดีต่อกำไรของกลุ่มปั๊มโดยตรง
ปัจจุบันหุ้นของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเปิดสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีทั้งหมด 5 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR, 2.บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, 3.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, 4.บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO และ 5.บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO
นักวิเคราะห์บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นโยบายนี้จะส่งผลให้ค่าการตลาดสำหรับน้ำมันดีเซลสูงขึ้นประมาณ 0.60 บาท/ ลิตร จากเดิมอยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร ในขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันก๊าซโซลีน จะลดลง 0.90-1.20 บาท/ลิตร จากข้อมูลของ EPPO ค่าการตลาดเฉลี่ยของ น้ำมันก๊าซโซลีน, ก๊าซโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 2.14 บาท/ลิตรในเดือน มี.ค. จาก 2.02 บาท/ลิตร ในเดือน ธ.ค. 65 ในขณะที่ค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเป็น 1.70 บาท/ลิตรในเดือน มี.ค. จาก 1.41 บาท/ลิตร ในเดือน ธ.ค. 65
ทำให้มองว่าหุ้นของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR น่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับนโยบายดังกล่าว เนื่องจากบริษัทมีปริมาณขายน้ำมันดีเซล (คิดเป็น 47% ของปริมาณขายรวม และ 60% ของ ปริมาณขายปลีกน้ำมัน) มากกว่าปริมาณขายน้ำมันเบนซิน (คิดเป็น 24% ของ ปริมาณขายรวม และ 40% ของปริมาณขายปลีกน้ำมัน) ดังนั้นจึงคาดว่ากำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ำมันของ OR จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/65 มาอยู่ที่ 0.80-1.00 บาท/ลิตร ในไตรมาส 1/66
อย่างไรก็ดี ยังมองว่าไตรมาสที่แย่ที่สุดของ OR ได้ผ่านไปแล้ว คาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 1/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนได้รูปแบบ V-Shape จะหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวขึ้น ประกอบกับมูลค่าปัจจุบันยังอยู่ในระดับน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ P/E ปี 66 เพียง 18.1 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่ IPO แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 34.00 บาท
ขณะที่บทวิเคราะห์บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้ความเห็นในบทวิเคราะห์ว่า การที่ภาครัฐมีการผ่อนปรนการคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลในเดือน ก.พ. เป็นต้นไป อาจเป็นตัวลดแรงกดดันด้านราคา Downside และเปิดโอกาส Upside ได้กับหุ้นของปั๊มน้ำมัน โดยมองว่าหุ้นของบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG จะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เช่นกัน
โดยมองว่าภาพรวมของผลประกอบการไตรมาสที่ 1/66 ของ PTG อาจยังเผชิญแรงกดดันค่าการตลาดน้ำมันใน 45 วันแรกของไตรมาสที่คาดว่าไม่สูงนัก และส่วนแบ่งขาดทุนจาก palm complex น่าจะยังมีผลต่อเนื่อง แต่ให้น้ำหนักผลประกอบการไตรมาสที่ 2/66 น่าจะมีโอกาสกลับสู่ภาวะปกติ ภายหลังรัฐผ่อนปรนการคุมค่าการตลาดน้ำมันดีเซลในปลาย ก.พ. ที่ผ่านมา คงคำแนะนำ “Trading Buy” ที่ราคาเป้าหมาย 17.00 บาท ซึ่งหากสถานการณ์ของค่าการตลาดดีขึ้นตามลำดับ และธุรกิจ palm complex ทยอยดีขึ้น ค่อยมองเป็นโอกาสสะสม
ขณะที่หุ้นของบริษัท.บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP จะได้รับอานิสงส์จากค่าการตลาดฟื้นตัวจากรัฐบาลผ่อนคุมค่าการตลาดดีเซลด้วยเช่นกัน รวมถึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 52.50 บาท จากปัจจัยบวกหนุนต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก รวมถึงความคืบหน้า การเข้าซื้อ ESSO ในไตรมาสที่ 3/66 ส่งผลให้มีการฟื้นตัวของกำไรจากแรงหนุนของ ESSO ในไตรมาส 4/66 และยังอาจมีดีล M&A อื่นที่เข้ามาเพิ่ม ทั้งนี้มอง spread ปิโตรเลียมที่กลับสู่ระดับปกติเร็ว โดยเฉพาะ middle distillate (Jet+Gasoil) ที่เป็นสัดส่วนหลักของผลิตภัณฑ์ BCP จะส่งให้ความกังวลค่าการกลั่นผันผวนจบเร็ว