DAOL มองหุ้นไทยอัปไซด์จำกัด แต่ยังพอมีโอกาส แนะจัดพอร์ตดีมีชัยกว่าครึ่ง ให้เป้า set ปี 66 ที่ 1,700-1,750 จุด
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน ดาโอ (ประเทศไทย) หรือ DAOL กล่าวว่า ผลประกอบการกลุ่มธุรกิจปี 65 นี้เรามั่นใจกลับมามีกำไร หลังจากที่ช่วงปีที่ผ่านมารับว่าผลกำไรหดตัวลง โดยกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้หลักยังคงเป็นธุรกิจจากบริษัทหลักทรัพย์ หรือ บล. แต่ในปีนี้ธุรกิจรับบริหารกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กลับมาโดดเด่นในการสร้างกำไร
โดยคาดว่าเติบโตประมาณ 10-15% หรือมีกำไรเพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท จากปี 2565 กำไรอยู่ที่ 5-10% เท่านั้น เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่องทำให้สินทรัพย์นี้มีความน่าสนใจในการลงทุนสูง โดยเรามีแผนออกกองรีทใหม่เน้นลงทุนในสินทรัพย์โรงแรม
ส่วนธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันยังเติบโตต่อเนื่องจากช่วงปีที่ผ่านมา สิ้นปี 2566 สินเชื่อมีโอกาสเติบโตสูงถึง 6,000-7,000 ล้านบาท จากยอดสินเชื่อในปัจจุบันอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจนายหน้าขายประกันเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน กับธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) อย่างไรก็ตาม ทั้งสองธุรกิจยังต้องใช้เวลาในการเติบโตเพื่อสร้างผลกำไร
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ดาโอ จำกัด มั่นใจสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร หรือ AU ปีนี้จะกลับมาเติบโตสูงถึง 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ AUM อยู่ที่ระดับ 6,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 8,000 ล้านบาท
นางสาวนิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัดการลงทุน บลจ. ดาโอ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาประมาณ 7% อาจต้องมีการพักฐานบ้าง และกลับมาดูปัจจัยที่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้น คือ เรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 5.25% ตามคาดการณ์ประกอบกับการแข็งค่าของดอลลาร์อาจทำให้ในระยะสั้นตลาดดีดตัวลงได้นิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม เรายังมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อเพราะอัตราดอกเบี้ยน่าจะใกล้จุดสูงสุดแล้ว เพราะเงินเฟ้อเท่าที่เห็นมีการปรับตัวลดลงแล้ว และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เคยกังวลก็น่าจะไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยการเปิดประเทศของจีนถือว่าส่งผลดีต่อภาพรวมของเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 66 แนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าหุ้นไทยหลังจากในปีที่ผ่านมาปรับตัวดีกว่าตลาดต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นไทยที่ P/E 18 เท่าถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับหุ้นโลกที่อยู่ประมาณ 15 เท่า
"หุ้นไทยปีนี้อัปไซด์คงมีจำกัด เรามองดัชนีที่แถวๆ 1,700-1,750 จุด พอขึ้นมาก็มีการปรับตัวบ้าง แต่ถ้าดูแค่กุมภาพันธ์เดือนเดียวต่างชาติก็ขายไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกำไรค่าเงินด้วย ซึ่งฟันด์โฟลว์อาจจะต้องรอให้ค่าเงินบาทอ่อนลงกว่านี้อีกสักหน่อยอาจจะกลับมาได้ โดยอาจเห็นได้ในช่วงๆ จากการที่นักลงทุนต่างชาติขายทำกำไรและนำเงินกลับ"
อย่างไรก็ตาม หุ้นไทยยังมีโอกาสในการลงทุนอยู่ เนื่องจากในปีนี้จะมีเพียงไม่กี่ประเทศที่กลับมาเติบโตได้ดี นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีน โดยหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุน เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม และหุ้นที่เกี่ยวข้องการเปิดประเทศ
"การลงทุนในหุ้นไทยยังต้องรอจังหวะให้ผ่านช่วงที่มีความคาดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไปก่อน ซึ่งอาจจะเป็นหลังไตรมาสที่ 1 เพราะหุ้นใหญ่ยังมีบริษัทน้ำมันที่ได้รับผลกระทบอยู่ แต่กลุ่มแบงก์อาจฟื้นตัวดีขึ้นได้บ้าง ขณะที่หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวน่าจะปรับตัวได้ดีกว่า"
นายพลสิทธิ ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดาโอ รีท แมเนจเมนท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DAOL REIT ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์ กล่าวว่า ด้วยศักยภาพสินทรัพย์และการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ดี ส่งผลให้ในไตรมาสที่ผ่านมาทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เคทีบีเอสที มิกซ์ หรือ KTBSTMR เติบโตต่อเนื่อง
ล่าสุดเราจึงได้พิจารณาจ่ายประโยชน์ตอบแทนสำหรับรอบผลการดำเนินงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 65 และกำไรสะสม ในอัตรา 0.1777 บาทต่อหน่วยทรัสต์ รวมมูลค่ากว่า 53.57 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายประโยชน์ตอบแทนในวันที่ 21 มี.ค. 66 โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหน่วยทรัสต์ที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ตอบแทน (Record Date) ในวันที่ 8 มี.ค. 2566
ทั้งนี้ กองทรัสต์ KTBSTMR ได้จ่ายประโยชน์ตอบแทนรวมกัน 4 ไตรมาสของปี 2565 รวมทั้งสิ้น 0.7143 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 7.14% ต่อปี สะท้อนถึงศักยภาพของสินทรัพย์และการบริหารของกองทรัสต์ ที่มีจุดเด่นในการเป็นกองทรัสต์อิสระที่ลงทุนในสินทรัพย์คุณภาพหลากหลาย