ปี 2566 หรือปีกระต่ายทอง หลายคนคาดหวังว่า เศรษฐกิจปากท้องจะดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย และไทยเปิดประเทศต้อนรับการท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจหลายประเทศส่งสัญญาณถดถอย
การลงทุนปีนี้ นักลงทุนจึงต้องมีความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้น โดยล่าสุดเว็บ SETINVESTNOW ได้เผยแพร่บทความ “จัดพอร์ตลงทุนต้อนรับเศรษฐกิจถดถอย”
โดยมองว่าปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค “ดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจผันผวนมากขึ้น” โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจะมีความแตกต่างกัน (Divergence) ระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะเกิดภาวะถดถอยอย่างอ่อนๆจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังเริ่มปรับลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่ลดลงในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน
โดยประเทศพัฒนาแล้วยังจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลที่ตามมา คือ ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและผ่อนคลายนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี
ดังนั้น ภาพรวมปีนี้น่าจะเป็นทั้งปีที่มี “ความหวัง” และ “ความจริง” โดยความหวังคือ “อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” จะไม่ปรับขึ้นรุนแรง และ “การเปิดประเทศของจีน” จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่วนความจริงน่าจะเป็นผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการต่างๆในช่วง COVID–19 ที่อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะเติบโตในครึ่งแรกของปีและจะชะลอตัวในครึ่งปีหลังเพราะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้ส่งออกได้ลดลง การลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐก็อ่อนแรงลง แต่ปัจจัยที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้คือการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ส่วนสินทรัพย์ที่น่าลงทุนปีนี้ มองว่า การลงทุนตราสารหนี้จะดีขึ้น ซึ่งจากสถิติปี 2523-2563 พบว่าตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่านจุดสูงสุด โดยพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกู้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย คำแนะนำ คือ หากสนใจลงทุนหุ้นกู้ให้เน้นอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) อายุ 3-5 ปี ส่วนพันธบัตรรัฐบาลก็สามารถลงทุนอายุยาวได้ เช่น 10 ปี
หุ้นไทยแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่ม Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่ตลาดหุ้นจีนและเอเชียก็ได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเช่นกัน ขณะที่นโยบายการเงินที่ตึงตัวน้อยกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป ดังนั้น ให้เน้นลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีนและหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค!!
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจแบบง่ายๆ เพื่อจับทิศทางการลงทุนและค้นหาหุ้นเด็ด สามารถเข้าไปเรียนรู้ผ่าน e-Learning หลักสูตร “Macro Analysis” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ฟรี ลองไปเพิ่มพูนความรู้กันนะคะ!
คุณนายพารวย