ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยผู้ที่ประสบความสำเร็จได้มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนหนาและมีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการสูง เหตุสำคัญเพราะธุรกิจการสร้างบ้านต้องมีการซื้อที่ดินเพื่อเก็บสต๊อกไว้ก่อน ดังนั้นจึงต้องใช้เม็ดเงินลงทุนเพื่อกว้านซื้อที่สะสม ยิ่งมีเงินหน้าตักมากเท่าไร ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ
ดังนั้นในด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายเล็กที่เงินทุนไม่หนา อาจต้องใช้กลยุทธ์ที่มากกว่าเพื่อประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะกลยุทธ์ในด้านการเลือกพื้นที่ที่รายใหญ่อาจเข้าไม่ถึง
บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR หนึ่งในผู้เล่นรายเล็ก และกำลังจะเข้าระดมทุน เลือกใช้ยุทธวิธีการเข้าสร้างโครงการในพื้นที่แปลงเล็กเพื่อสร้างความแตกต่าง
นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR เปิดเผยว่า SVR ก่อตั้งในปี 2560 ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในแนวราบเป็นหลัก ด้วยแนวคิดว่า โครงการแนวราบนั้นมีความต้องการสม่ำเสมอ
SVR ทำการตลาด ผ่าน 5 แบรนด์ จับกลุ่มตั้งแต่กลุ่มทาวน์เฮาส์ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท บ้านแฝด ไปจนถึงบ้านเดี่ยวราคาประมาณ 6.2 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นการทำธุรกิจในรูปแบบที่ขายเร็ว โดยจะเน้นการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและคุณภาพที่สูง
การทำธุรกิจของเราจะแตกต่างจากบริษัทขนาดใหญ่ โดยเราใช้กลุยทธ์เลือกพัฒนาโครงการในพื้นที่ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก ที่มีพื้นที่ประมาณ 20-50 ไร่ มากกว่าจะพัฒนาโครงการในพื้นที่ใหญ่เพียงผืนเดียว เพราะบริษัทมองว่าจะช่วยให้บริษัทพัฒนาโครงการได้รวดเร็วกว่า และสร้างกระแสเงินสดได้เร็วกว่า
“การพัฒนาโครงการของสิวารมณ์ เราจะแตกต่างจากที่อื่น เพราะไม่มีแบ็กล็อก ไม่มีดินเปล่า เราเน้นพัฒนาโครงการในพื้นที่เล็ก และขึ้นโครงการอย่างรวดเร็วซึ่งจะช่วยให้บริษัทไม่ต้องนำเงินไปจมกับการสะสมที่ดิน”
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่มักจะเลือกพัฒนาที่ดินที่พื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น พื้นที่ 200 ไร่ในครั้งเดียว กว่าจะสร้างแต่ละโครงการ แต่ละเฟส อาจใช้เวลาพัฒนาโครงการ 5 ปีถึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งอาจสร้างเงินได้ 2 พันล้านบาท
แต่ในฝั่งของบริษัทจะเน้นเลือกซื้อพื้นที่ขนาดเล็ก 20-50 ไร่ ที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกัน และพัฒนาโครงการ 3-4 พื้นที่พร้อมกัน ใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการก่อสร้างและขายเพื่อจบโครงการ ได้เงิน 2 พันล้านเช่นกัน ทำให้เราสามารถนำเงินก้อนเดียวกัน หมุนเข้าลงทุนใหม่ได้เท่ากับบริษัท สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ 2 เท่า ในเวลาเท่ากันโดยหัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จคือ การเลือกที่จะเข้าลงทุนในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการการก่อสร้างได้ในต้นทุนที่เหมาะสม
“บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่จะไม่ทำแบบเราเพราะหากบริษัทจัดการไม่ดีอาจส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายการก่อสร้างที่สูง แต่เรามีการวางแผนและปิดการขายเป็นรายพื้นที่ ดังนั้นจึงเป็นจุดเด่นให้เราสามารถสู้กับรายใหญ่ได้”
ความโดดเด่นของโครงการของ SVR รณฤทธิ์ มองว่า มาจากโครงการที่มีคุณภาพสูง และสร้างที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ลูกค้า รวมถึงมีวัสดุที่แข็งแรง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค รวมถึงขนาดโครงการที่ไม่ใหญ่เกินไป
จุดเด่นดังกล่าวทำให้การตอบรับลูกค้านั้นดีมาก และทุกครั้งในการเปิดขายโครงการก็จะมียอดจองโครงการเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีความพร้อม โดยผลการดำเนินงานที่ผ่านมามีการเติบโตที่สูง โดยในงวด 9 แรกของปี 2565 มีรายได้ 532 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 มีรายได้ 576 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท ทำให้ลูกค้าได้ความเป็นส่วนตัว โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่า 2,996 ล้านบาท
ในมุมมองของ SVR กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 นั้นมองว่าการเติบโตจะมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดบ้านเดี่ยวที่มีความต้องการสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ทั้งนี้ SVR เตรียมเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 8 ก.พ. นี้ เสนอขายหุ้น จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.20 บาท เตรียมเข้าเทรดวันที่ 8 ก.พ. นี้
สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai นั้น สิ่งที่ SVR คาดหวังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ซึ่งต้องยอมรับว่าการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นการสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ที่ต้องการจองซื้อโครงการ ว่าบริษัทมีพื้นฐานที่ดี มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงช่วยสร้างทางเลือกการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับบริษัท ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีเงินทุนสูง โดยบริษัทคาดหวังว่าการเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตที่สูงไว้ให้ได้