ตลาดการร้านค้าทองคำอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน และทุกหัวมุมเมืองมักจะมีร้านทองตั้งอยู่เสมอ ซึ่งทองคำนอกจากทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับ ตัวแทนของความมั่งคั่ง ร่ำรวย แล้ว ยังกลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ในการลงทุน จึงไม่แปลกที่จะมีมูลค่าของตลาดของร้านค้าทองคำจะสูงถึง 1 แสนล้านบาท แต่ผู้ค้ามักจะพบว่าเป็นร้านค้าแบบดั้งเดิม สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ทำให้ตลาดที่มีมูลค่าแสนล้านนี้ ไม่มีใครที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ครองสัดส่วนใหญ่มากกว่า 10%
มุมมองบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ที่ผู้คนต่างรู้จักในนามร้านค้าทอง AURORA มองเห็นโอกาสดังกล่าว และเลือกใช้ระบบบริหารจัดการหลังบ้าน เพื่อจะรุกทำการตลาดในกลุ่มนี้ ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา AURA ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นร้านทองคำรายแรกที่เข้าตลาดหุ้น
นายอนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดการค้าทองคำในประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งไม่มีใครเป็นผู้ที่ครองสัดส่วนแบบเด็ดขาด ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ไม่เกิน 10% ดังนั้นจึงเป็นตลาดที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่พร้อมเติบโต
“ที่ผ่านมาตลาดค้าทองคำนั้นใหญ่มาก จุดสำคัญที่ทำให้ตลาดนี้มีใครครอบครองได้ เพราะการทำธุรกิจต้องลงทุนสูง ในการตั้งสาขาและสต๊อกสินค้า ทำให้การขยายตลาดแบบรวดเร็วในธุรกิจนี้จึงไม่เกิดขึ้น”
ขณะเดียวกันการขยายสาขาร้านทองคำหากไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี ก็มีความเสี่ยง ลองคิดดูว่า ถ้าคุณมีร้านค้าทองคำแบบดั้งเดิม ถ้าคุณมีระบบที่ไม่ดี โอกาสที่จะถูกลักขโมยสินค้า หรือ การโกงในบริษัทเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นจึงทำให้ร้านทองที่มีอยู่ในปัจจุบันเลือกที่ทำไปเรื่อยๆ ไม่ได้เน้นการขยายสาขา หรือบางรายรุ่นพ่อรุ่นแม่ส่งต่อให้ลูกหลายก็ไม่เอา เลือกที่จะขายทิ้งปิดธุรกิจไปทำอย่างอื่น ดังนั้นจึงเป็นปัญหาทำให้ ร้านทองที่มีอยู่ในปัจจุบันจะเป็นร้านลักษณะแบบดั้งเดิมไม่ต่อยอดการเติบโต
AURA ใช้ข้อมูลเพื่อเติบโต
AURA เป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจค้าทองคำ ได้เปลี่ยนผ่านมายังรุ่นที่ 3 ซึ่งเรามองว่า ตลาดร้านค้าทองคำยังเติบโตได้ แต่ต้องมีการวางระบบในด้านการตรวจสอบและติดตามข้อมูลให้ดี โดยที่ผ่านมา AURA มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแบรนด์ต่างๆ ทั้ง AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, ของขวัญ by AURORA และ AURORA Diamond โดย ณวันที่ 30 ก.ย. 2565 มีจำนวนสาขารวม 266 แห่ง
ปัญหาสำคัญของธุรกิจร้านทองคำที่สเกลอัปกันไม่ได้ คือ ไม่รู้ว่าควรจะสต๊อกสินค้าเท่าไร ทำให้เมื่อเจ้าของร้านทองคำทั่วไปมีเงินก็มักจะซื้อทองเติมหน้าร้าน ทำให้หน้าร้านค้าทองคำแบบดั้งเดิม อาจมีปริมาณสต๊อกทองคำสูงถึง 40 กิโลกรัม แต่ในฝั่งของ AURA นั้นใช้ข้อมูลในการขยายสาขา โดยเราเก็บข้อมูล ว่าสินค้าแบบไหนขายปริมาณเท่าไร มีรอบของสต๊อกสินค้าอย่างไร เพื่อใช้วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด
ผลที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทรับรู้ความเคลื่อนไหวของสินค้า ไม่ต้องสต๊อกสินค้าที่เยอะเกินความจำเป็นซึ่งทำให้ร้านของ AURA มีทองคำเพียง 10 กิโลกรัมเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ ว่า ปริมาณทองคำของร้านทองทั่วไป 1 ร้าน AURA สามารถขยายสาขาได้ 4 สาขา
ตลาดแสนล้านแต่การตลาดแสนน้อย
การสร้างการเติบโตหัวใจของธุรกิจ คือ การตลาด ซึ่งที่ผ่านมาแม้มูลค่าตลาดทองคำจะสูงถึง 1 แสนล้านบาท แต่การตลาดที่น้อยมาก ดังนั้นสิ่งที่ AURA คือ การจัดแบรนด์ให้เหมาะสมและโฟกัสที่ฐานของลูกค้า เช่น ในแบรนด์ของ AURORA จะเน้นเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนในเมือง มีรายได้ระดับกลางถึงสูง กลุ่มนี้ต้องการสินค้าที่มีมูลค่าสูง สามารถซื้อสินค้าทองคำที่ใช้นวัตกรรมไปเป็นของขวัญกับผู้ใหญ่ได้ ในขณะที่เซ่งเฮง เป็นร้านทองในรูปแบบดั้งเดิม คนที่เข้าใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้าน หรือ ลูกค้าที่ต้องการทองเส้น
“สิ่งที่ AURA ใช้ คือ การจับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน อย่างคนที่เข้า AURORA เขาจะเน้นความพรีเมียม เป็นของขวัญฝากผู้ใหญ่ เขาจะไม่เข้า เซ่งเฮง เพราะไม่ใช่ตลาดในกลุ่มเขา ขณะที่ลูกค้าเซ่งเฮง ก็จะไม่เข้า AURORA เพราะมองว่าราคาอาจสูงเกินไป เมื่อฐานลูกค้าคนละกลุ่ม เราสามารถตั้งทั้ง 2 ร้านข้างๆ กัน โดยไม่แย่งลูกค้ากันเลย”
นอกจากนี้ AURA ใช้การตลาดเข้ามาช่วยทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารูปแบบต่างๆ สร้างสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรของธุรกิจให้หนาขึ้น รวมถึงการวางมาตรฐานของราคาทองคำ ทำให้บริษัทไม่ใช่ร้านทองคำที่ถูกที่สุด แต่ใช้มาตรฐานในการให้บริการ ลูกค้าสามารถนำทองคำและรับประกันมาที่ร้านและขายได้ราคาเท่ากันไม่ว่าจะอยู่ในจุดไปของประเทศ ดังนั้นทำให้ลูกค้ามั่นใจในมาตรฐานและ 80% จะกลับมาซื้อซ้ำ
ตลาดค้าทองคำยังเติบโตได้จริงแต่ต้องยอมรับว่า อัตรากำไรต่อเส้นนั้นค่อนข้างบาง ทำให้บริษัทยังมองโอกาสเติบโตไปจาก ‘ทองมาเงินไป’ ให้บริการรับขายฝากสินค้าด้วยวงเงินและอัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี และมีโอกาสที่เป็นหนี้เสียต่ำ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของร้านทองคำ แม้จะมีการบริหารต้นทุนที่ดีอย่างไร การจะขยายร้านยังเป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนที่สูงอยู่ดี ซึ่งหากจะใช้วิธีการเดิมในการขยายสาขาอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสามารถได้ปริมาณที่เยอะได้ ดังนั้นการเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นคำตอบ
โดยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของ AURA มีเป้าหมายจะนำเงินเพื่อไปต่อยอดธุรกิจ โดยบริษัทวางเป้าหมายต้องการจะเปิด เปิดสาขาไว้ภายในปี 2567 จะมีสาขาครบ 409 สาขา ครอบคลุมหัวเมืองต่างๆ และแหล่งชุมชนทั่งประเทศ เมื่อถามว่า หลังจากเข้าตลาดหุ้นอยากให้ AURA เป็นหุ้นแบบไหน อนิพัทย์ ตอบว่า อยากเป็น defensive growth stocks เพราะเรามองว่าเรามีความแข็งแกร่งจากธุรกิจที่เราอยู่มา 50 ปี ผ่านมาทุกวิกฤติแต่ไม่เคยเจอปัญหาขาดทุน และเราก็มีแผนการขยายสาขาที่ชัดเจน และมีธุรกิจใหม่ที่จะช่วยเพิ่มความหนาของกำไร AURA ในอนาคตด้วย.