ทิพยประกันภัย โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/65 หมดเคลมโควิดกำไรพุ่ง 470 ล้าน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทิพยประกันภัย โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/65 หมดเคลมโควิดกำไรพุ่ง 470 ล้าน

Date Time: 14 พ.ย. 2565 17:24 น.

Video

ศิรเดช โทณวณิก Gen 3 ดุสิตธานี ธุรกิจที่เป็นมากกว่าโรงแรม | On The Rise

Summary

  • ทิพยประกันภัย หมดเคลมโควิด โชว์กำไรไตรมาส 3/65 พุ่ง 470 ล้าน ส่วนเบี้ยประกันภัยรับ 9 เดือน แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท

ทิพยประกันภัย หมดเคลมโควิด โชว์กำไรไตรมาส 3/65 พุ่ง 470 ล้าน ส่วนเบี้ยประกันภัยรับ 9 เดือน แตะ 2.2 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.65 ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP กล่าวว่า การดำเนินงานของ ทิพยประกันภัย ในไตรมาส 3/65 เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีกำไรสุทธิ 470.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 776.47 ล้านบาท คิดเป็น 253.40% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจำนวน 85.43 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ เนื่องจากเบี้ยประกันภัยรับของบริษัทฯ ยังคงขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ประกอบกับผลกระทบจากค่าสินไหมทดแทนสำหรับประกันภัยโควิดได้สิ้นสุดลงแล้ว โดย TIP มีเบี้ยประกันภัยรับรวมในไตรมาส 3/65 ถึง 7,307.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 917.94 ล้านบาท หรือคิดเป็น 14.37% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 1,248.11 ล้านบาท คิดเป็น 20.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่งผลให้เบี้ยประกันภัยรับรวมของบริษัทฯ สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 65 เพิ่มขึ้น 2,392.34 ล้านบาท มาอยู่ที่ 21,790.15 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับในทุกผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วยเบี้ยประกันอัคคีภัย เติบโต 43.51% เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เติบโตร้อยละ 24.95 เบี้ยประกันภัยรถยนต์ เติบโต 23.65% และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เติบโต 4.87%

ดังนั้น จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 3/2565 ส่งผลให้กำไรสุทธิของ TIP สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย 65 อยู่ที่ 806.25 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 65 ซึ่งมีกำไรสุทธิ จำนวน 336.21 ล้านบาท

ทั้งนี้ในส่วนของการดำเนินงานภายใต้แผนธุรกิจของ TIP บริษัทฯ จะยังคงเดินหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบสนองและตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาช่องทางการขายร่วมกับพันธมิตรและยกระดับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการขยายตัว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในธุรกิจรับประกันภัย

ดร.สมพร กล่าวอีกว่า ในส่วนของบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH การลงทุนของบริษัทฯ ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เริ่มที่จะสะท้อนผลการดำเนินงานที่โดดเด่นตามที่บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว โดยที่ผลการดำเนินงานปกติของบริษัทย่อยภายใต้กลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัย (Insurance Supported Business) ได้แก่

1. บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.65 อยู่ที่ 11.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 83.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากความร่วมมือกับพันธมิตรรายใหญ่ ในการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น

2. บริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.65 อยู่ที่ 19.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 140.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากรายได้จากการสำรวจภัยเพิ่มขึ้นและการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

โดยภายในสิ้นปีนี้ บริษัทที่ TIPH ได้เข้าลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3/65 ที่ผ่านมาได้แก่ บริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด และ บริษัท เอราวัณประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเริ่มสร้างมิติใหม่ให้กับธุรกิจบริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือ Non-Bank และธุรกิจประกันวินาศภัยได้

สำหรับบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่าง TIPH กับธนาคารออมสิน และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่ง TIPH ถือหุ้น 31% คาดว่าจะเริ่มให้บริการธุรกิจแรก คือ สินเชื่อที่ดิน รับจำนองและขายฝาก ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งภายใต้ Business Model ของบริษัท มีที่ มีเงิน จำกัด จะช่วยให้ประชาชน และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs มีทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนถูกลงด้วยอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง โดยจะนำร่องเปิดให้บริการ สินเชื่อที่ดิน ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และสมุทรปราการ

ส่วน เอราวัณประกันภัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อประกอบธุรกิจประกันภัยดิจิทัล 100% แห่งแรกในประเทศไทยภายใต้ชื่อ InsurVerse โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ 100% ได้ภายในสิ้นปีนี้

ดร.สมพร กล่าวว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการเกิดขึ้นของ โควิด-19 และแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวในหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การลงทุน และการท่องเที่ยว จะส่งผลให้บริษัทฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวทั้งในแง่ของ Business Model และบุคลากรเพื่อรองรับกับสถานการณ์ดังกล่าวไว้แล้ว เพื่อที่จะสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจ

รวมถึงการรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจวินาศภัยของไทยควบคู่ไปกับการช่วยเหลือสังคมในมิติต่างๆ สอดคล้องกับแนวคิดในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม การกำกับดูแลกิจการที่ดี หรือ ESG เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไป


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ