ไทยออยล์ เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 12 ล้าน หลังขาดทุนสต๊อกน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ พร้อมยืนยันแผนการลงทุนและขยายธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 65 นายนพดล ปิ่นสุภา รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/65 ไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 124,174 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 8.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
จากสถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,238 ล้านบาท และมี EBITDA ติดลบ 568 ล้านบาท เมื่อรวมกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเครื่องมือทางการเงินจำนวน 5,090 ล้านบาท และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,710 ล้านบาท หลังหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ทำให้ในไตรมาส 3/65 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในช่วงเวลานี้ ไทยออยล์ได้มีการบริหารป้องกันความเสี่ยงด้านราคาน้ำมันดิบและด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนจากสถานการณ์ดังกล่าว
นายนพดล กล่าวอีกว่า หลังการระบาดโควิดในหลายประเทศทั่วโลกคลี่คลายลง ทำให้เกิดการผ่อนคลายการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ประกอบกับความต้องการใช้เชื้อเพลิงสำหรับทำความร้อนในช่วงฤดูหนาว ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจการกลั่นช่วงไตรมาส 4/65 มีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ หลังประสบความสำเร็จในการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยออยล์สามารถระดมเงินทุนได้ถึง 10,368 ล้านบาท ซึ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน ดังนั้น ไทยออยล์จึงเร่งเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจตามแผนการลงทุนที่วางไว้ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
ได้แก่ การลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) ซึ่งมีความคืบหน้ากว่า 87% และการลงทุนในธุรกิจโอเลฟินที่ประเทศอินโดนีเซีย รวมทั้งขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต เพื่อลดความผันผวนจากอุตสาหกรรมพลังงาน และนำไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน