จับตานักวิเคราะห์เตรียมลดคาดการณ์กำไร บจ. มีสิทธิฉุดดัชนีหุ้นไทยร่วง

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

จับตานักวิเคราะห์เตรียมลดคาดการณ์กำไร บจ. มีสิทธิฉุดดัชนีหุ้นไทยร่วง

Date Time: 2 ส.ค. 2565 14:22 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • บล.ทิสโก้ ชี้ คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ยังไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แนะจับตานักวิเคราะห์ลดคาดการณ์กำไร หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/65 เสร็จสิ้น

บล.ทิสโก้ ชี้ คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ยังไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย แนะจับตานักวิเคราะห์ลดคาดการณ์กำไร หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/65 เสร็จสิ้น

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 65 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index ปรับตัวลงราว -6% ถึงแม้ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่ากลับมาน่าสนใจ

โดยค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (12m Fwd. PER) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าปรับตัวลงจาก 16-17 เท่าในช่วงก่อนหน้านี้ มาอยู่ที่ระดับ 15 เท่าต้นๆ แต่ประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) ของตลาดหุ้นไทยปี 2565 และปี 2566 ที่ถูกปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีดูจะไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงเศรษฐกิจที่มีโอกาสสูงในการเผชิญภาวะถดถอยในระยะข้างหน้า โดยคาดการณ์กำไรปี 2565 อยู่ที่ 98.2 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น +6% จากต้นปี และปี 2566 อยู่ที่ 107.4 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น +2% จากต้นปี  

ดังนั้น ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ-ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย ภายหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 จะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่าทิศทางกำไรสุทธิของตลาดโดยรวม (SET EPS) จะถูกปรับลงหรือไม่ โดย SET EPS ที่ถูกปรับลงทุกๆ 1% จะคิดเป็นโอกาสปรับลดลง (Downside) ของ SET Index ราว 15-16 จุด  

สำหรับภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ของหุ้นกลุ่มธนาคารที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ทั้ง 7 แห่งมีกำไรสุทธิรวม 4.94 หมื่นล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) และ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) ซึ่งดีกว่าที่ บล.ทิสโก้ และตลาดคาดไว้เล็กน้อยประมาณ 2%

โดยธนาคารที่มีกำไรดีกว่าคาด คือ KTB, TTB, BAY และ KKP หลักๆ จากอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อที่ดีขึ้น และต้นทุนเครดิตที่ลดลง รวมทั้งมีการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี    

ขณะที่ KBANK, BBL และ SCB มีกำไรน้อยกว่าคาด จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่อ่อนแอ มีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ BBL ยังคงต้นทุนเครดิตในระดับที่เข้มงวดแม้คุณภาพสินทรัพย์ยังคงดีอยู่ก็ตาม ทั้งนี้ หลังการประกาศผลประกอบการหุ้นกลุ่มแบงก์มีความชัดเจน โดยไม่ได้มีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าเงินลงทุนสูงอย่างที่เป็นกังวลก่อนหน้านี้ เราเริ่มเห็นแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่มแบงก์จากนักลงทุนต่างชาติ  
 
สำหรับผลประกอบการของหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มแบงก์ (Non-bank Companies) จากการรวบรวมประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 2/65 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งสิ้นจำนวน 147 บริษัท (คิดเป็น 76% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นสามัญนอกกลุ่มแบงก์) คาดจะมีกำไรสุทธิรวม 1.88 แสนล้านบาท เติบโตดี +17% YoY และ +15% QoQ  

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ คือ 1.กลุ่ม ENERG (+84% YoY, +36% QoQ) หลักๆ จาก PTTEP และหุ้นโรงกลั่นมีกำไรเติบโตก้าวกระโดด อานิสงส์จากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่พุ่งสูงขึ้น

2.กลุ่ม FOOD (+56% YoY, +129% QoQ) มาจาก MINT ที่คาดว่าจะพลิกมีกำไรในไตรมาสนี้เทียบกับที่ขาดทุนเกือบ 4 พันล้านบาททั้งในไตรมาส 2/2564 และ 1/2565 ผสานกับหุ้นร้านอาหาร (M, ZEN) ที่พลิกมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 

นอกจากนี้ หุ้นส่งออกอาหาร-เครื่องดื่ม ก็มีกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน (SAPPE, SNNP, TFG) ได้ประโยชน์จากความต้องการที่แข็งแกร่งในต่างประเทศและค่าเงินบาทอ่อน

3.กลุ่ม CONS (+89% YoY, +72% QoQ) โดย CK และ STEC จากการรับรู้รายได้งานในมือที่สูงขึ้นหลังการทยอยเปิดกิจกรรมเศรษฐกิจ ขณะที่ CK ยังมีรายได้เงินปันผลจาก TTW และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูก (BEM, CKP) ที่เพิ่มขึ้น    

ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโต YoY ค่อนข้างโดดเด่น คือ กลุ่ม COMM (+44% YoY จากยอดขายต่อสาขาเดิมที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งจากการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับเข้ามา) และกลุ่ม HELTH (+60% YoY จากรายได้ Non-COVID ที่ขยายตัวทั้งผู้ป่วยในประเทศและต่างประเทศ และมาร์จิ้นดีขึ้นจากสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น)   

ด้านกลุ่ม TRANS และ TOURISM คาดยังมีผลขาดทุนอยู่ โดยกลุ่ม TRANS เป็นผลจาก AAV, AOT และ KEX ถูกกดดันจากจำนวนผู้โดยสารแม้ฟื้นตัวขึ้นแต่ยังห่างไกลก่อนช่วงระบาด COVID-19 และต้นทุนราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น

ขณะที่กลุ่ม TOURISM เป็นผลจากหุ้นโรงแรม อาทิ CENTEL, ERW และ SHR ยังมีผลขาดทุนอยู่ในไตรมาสนี้ แต่ค่อยๆ น้อยลง และคาดว่าจะพลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงครึ่งปีหลังจากการท่องเที่ยวที่เร่งตัวขึ้นทั้งการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศจากภาครัฐ  

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ แนะนำหาจังหวะการเข้าลงทุนในช่วงตลาดอ่อนตัว เน้นหุ้นที่คาดงบไตรมาส 2/65 จะออกมาดี และมีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกโดดเด่น หุ้นเด่นในเดือนสิงหาคม คือ BANPU, CK, COM7, EGCO, KKP, RCL และ SMPC ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,520-1,540 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,600-1,610 จุด.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ