สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับสู่เกณฑ์ "ซบเซา" กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 65 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือ FETCO Investor Confidence Index ในเดือนมิ.ย. 65 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน หรือ ICI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 64.57 ปรับตัวลดลง 23.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ในเกณฑ์ "ซบเซา" เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่า การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือเงินทุนไหลเข้า และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ
สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่อาจนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession รองลงมา คือ ภาวะเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก และความกังวลต่อสถานการณ์โควิด
ทั้งนี้ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ ซบเซา ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ ทรงตัว โดยมีหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดอาหารและเครื่องดื่ม หรือ FOOD และหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น หรือ FASHION
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงเดือนมิ.ย. 65 SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบอยู่ระหว่าง 1,557.61—1,660.01 จุด จากความกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลก และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่สภาวะถดถอยมากขึ้น หลังประธาน FED และประธาน ECB ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ทำให้ในเดือนมิ.ย. 65 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 29,990 ล้านบาท เป็นการขายสุทธิในเดือนแรกหลังจากซื้อสุทธิมาตลอดตั้งแต่เดือนธ.ค.64 อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ภาครัฐประกาศมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาพลังงานและมาตรการหนุนภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ SET index ปิดที่ 1,568.33 จุด ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 65 ปรับตัวลดลง 5.7% จากเดือนก่อนหน้า
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวทางการรับมือของ FED ต่อสถานการณ์เงินเฟ้อหลังอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 40 ปี ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซียยูเครน ซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านพลังงานในยุโรป รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนหลังมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown
ส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. สถานการณ์เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจากราคาพลังงานในตลาดโลกและราคาวัตถุดิบในประเทศ และสถานการณ์การระบาดของโควิด