ทรีนีตี้ คาดไตรมาส 3/65 เม็ดเงินลงทุนจะย้ายจากตลาดหุ้นไปตลาดตราสารหนี้ หลังเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แนะรอซื้อที่ดัชนีแนวรับแรก 1,500-1,530 จุด ส่วนแนวรับที่ไม่น่าหลุดและเป็นโซน Overweight หุ้นไทย 1,460-1,500 จุด
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65 นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 3/65 คาดว่า ช่วงครึ่งแรกของไตรมาสจะยังเป็นช่วงเวลาซึมๆ และอ่อนแรงของตลาดหุ้นไทย จากทั้งปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ นโยบาย ค่าเงิน และสภาพคล่อง
โดยมองไตรมาส 3/65 นี้จะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านความกลัว จากประเด็นเฟ้อสูงและนโยบายการเงินที่เข้มงวด ไปสู่ความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวมากขึ้น ซึ่งหากมีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น คาดว่าจะเห็นระลอกของการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากตลาดหุ้นเข้าสู่ตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวที่มากขึ้นได้ (The Great Rotation)
สำหรับกลยุทธ์การจัดสรรพอร์ตการลงทุนในไตรมาส 3/65 มองว่านักลงทุนสามารถ Overweight การลงทุนในตราสารพันธบัตรระยะยาวได้ ส่วนทางด้านการลงทุนในหุ้นนั้น ควรเน้นการตั้งรับและรอการเข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสม หรือในช่วงเวลาที่ Valuation ลงมาในระดับที่น่าจูงใจนั่นเอง มองกรอบแนวรับแรกของดัชนี SET ที่น่าสนใจได้แก่บริเวณ 1,500-1,530 จุด
ส่วนระดับแนวรับสำคัญที่ไม่น่าหลุดได้แก่บริเวณ 1,460-1,500 จุด ซึ่งถือเป็นระดับที่ทำให้ SET กลับมามีความน่าสนใจอย่างมาก ทั้งในมิติของ PBV, PE และ Earning yield gap ทั้งนี้ หากดัชนีหุ้นไทยจะกลับมาไต่ระดับขึ้นได้อีกครั้ง มองว่าจะต้องอาศัยการไหลเข้าของ Fund flow อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งประเมินว่าหากจะเกิดขึ้น น่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 3/65 นี้เป็นอย่างเร็วไปพร้อมๆ กับจุดเปลี่ยนของค่าเงินบาท
นายณัฐชาต กล่าวว่า จากทิศทางทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ทำให้เราประเมินว่าการจัดสรรการลงทุนรายกลุ่มอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 3/65 นี้ สามารถหลีกเลี่ยงหรือ Underweight หุ้นในกลุ่ม Cyclical ไปก่อนได้ ทั้งในฝั่งของ Global เช่น กลุ่ม Oil & Gas, ปิโตรเคมี, อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์
รวมถึงฝั่งของไทย เช่น กลุ่ม Consumer discretionary, อสังหา, ก่อสร้าง, สื่อฯ, ไฟแนนซ์ เป็นต้น หากจะต้องเลือกลงทุนในกลุ่ม Cyclical จริง มองไปยังกลุ่ม Oil retailer ที่ค่าการตลาดเริ่มทรงตัวได้ และ Volume การขายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมไปถึง Bank ที่มีฐานลูกค้าเน้นไปทาง Corporate และยังมีสัดส่วนการตั้งสำรองในระดับสูง
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่เรามองว่าค่อนข้างปลอดภัย และมักทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยเป็นครั้งแรกของ Cycle ได้แก่ กลุ่ม Healthcare, Consumer staple, Utilities, ICT ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เรามองว่านักลงทุนสามารถใช้จังหวะแนวรับที่ให้ไว้ในการทยอยเข้าลงทุนได้
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่มองว่าน่าสนใจด้วยเช่นกันจะได้แก่กลุ่มบริหารหนี้ ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้ม NPL ในประเทศที่เตรียมกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง รวมถึงกลุ่มอาหาร ที่ได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3 และยังได้ประโยชน์จากราคาเนื้อสัตว์ที่สูงขึ้นด้วย โดยสรุป หุ้นที่ทางทรีนีตี้แนะนำเป็น Top picks สำหรับการลงทุนในไตรมาส 3/65 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, CPF, GPSC, JMT, OR, RATCH, WHAUP