3 กูรูประเมินหุ้นไทยปี 2022 ฟื้นตัว หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย คาดเศรษฐกิจไทยโตอย่างน้อย 3.4% ประเมินกำไรสุทธิบจ. โตประมาณ 10% มองมุมบวกหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ค้าปลีก อาหาร และสื่อสาร รับธีมดอกเบี้ยขาขึ้น ธีมเปิดเมือง และธีมลงทุนระยะยาวแบบเมกะเทรนด์
นายยุทธพล ลาภละมูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกจะยังสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น หรือลดขนาดของการซื้อสินทรัพย์ลง เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สภาพคล่องของระบบอาจจะลดลงบ้างแต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง การลงทุนในตราสารทุนทั่วโลกจึงยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้
สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างน้อย 3.4% จากทั้งฐานที่ต่ำในปีก่อนหน้า การฟื้นตัวภายในประเทศ แนวโน้มการเปิดเมืองภายในประเทศหลังประชาชนได้รับวัคซีนทั่วถึง และความรุนแรงของสายพันธุ์โอมิครอนที่น้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา
แม้ว่าการเดินทางกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจยังต้องใช้เวลากว่า 1-2 ปี กว่าจะกลับไปถึงระดับเดียวกับก่อนการระบาด โดยธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีแนวโน้มจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปี เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นไทยจึงยังคงมีความน่าสนใจต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า
โดย บลจ.เกียรตินาคินภัทร ประมาณการณ์ว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตได้ดีประมาณ 10% แนะลงทุนในหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับโควิด และการใช้จ่ายก่อนการเลือกตั้ง
2. หุ้นกลุ่มที่ราคาไม่สูง หรือหุ้นกลุ่มราคาขึ้นช้า (Laggard) ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เนื่องจากเศรษฐกิจมีการเติบโตที่กระจายตัวขึ้น
3. หุ้นกลุ่มที่มีอำนาจกำหนดราคา (pricing power) สูง สามารถปรับตัวได้ในภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น หรือ หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีแนวโน้มสูงขึ้น
4. หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก เช่น 5G, Data Center, ยานยนต์ไฟฟ้า หรือพลังงานสะอาด เป็นต้น
โดยอุตสาหกรรมที่ บลจ. มีมุมมองที่เป็นบวกได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มการสื่อสาร และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่อาจทำให้การคาดการณ์ข้างต้นต่างไปอย่างมีนัยสำคัญคือ การระบาดของโควิดในวงกว้างซึ่งอาจเกิดจากสายพันธุ์ใหม่ที่มีความรุนแรงและดื้อต่อวัคซีน อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดการณ์มาก การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลกที่เร็วและมากกว่าที่คาด ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงการชะลอตัวที่รุนแรงของเศรษฐกิจจีน
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด มองว่า หุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวได้ต่อในปี 2022 โดยมีความน่าสนใจเพราะตลาดหุ้นไทยยังตามหลังตลาดหุ้นอื่นพอสมควร ทาง SCBAM มองบวกการลงทุนหุ้นไทย 3 ธีมได้แก่ ธีมดอกเบี้ยขาขึ้น หรือธนาคาร
ธีมเปิดเมือง ได้แก่ พลังงาน พาณิชย์ อาหาร และอสังหาฯ ธีมลงทุนระยะยาวแบบเมกะเทรนด์ที่ได้รับประโยชน์จาก digital transformation, EV, AI, หรือ cloud เป็นต้น สำหรับปัจจัยเสี่ยงอย่างเงินเฟ้อและโอมิครอน น่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนจำกัด
โดยเชื่อว่าเงินเฟ้อแม้จะอยู่ในระดับที่สูงขึ้นแต่ยังสามารถควบคุมได้ ขณะประชาชนทั่วโลกจะปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิดได้ดีขึ้น นอกจากนี้มองว่าหุ้น small cap ไทยที่มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับการเติบโตบนเมกะเทรนด์ในระยะยาวน่าจะทำผลประกอบการได้ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 หลังจาก laggard (ราคาขึ้นช้ากว่า) ตลาดหุ้นโลกมายาวนาน โดยมองว่าการเติบโตในตลาดพัฒนาแล้วเริ่มชะลอลง แต่ทางฝั่งตลาดกำลังพัฒนาในเอเชีย (ไม่รวมจีน) คาดว่าน่าจะมีโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ดีขึ้น
โดยหุ้นกลุ่ม small cap ของไทยที่มีความสัมพันธ์กับการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศสูงน่าจะทำผลตอบแทนได้ดี นอกจากนี้บริษัทเหล่านี้ยังมีโอกาสปรับตัวได้เร็วในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเร่งตัว โดยมีโอกาสร่วมมือหรือได้รับเงินลงทุนจากบริษัทขนาดใหญ่ที่กำลังเจอข้อจำกัดของการเติบโต
สำหรับมุมมองเงินเฟ้อเชื่อว่าอาจปรับเพิ่มสูงขึ้นได้แต่ว่ากลุ่ม small cap ไทยไม่ได้น่ารับผลกระทบมากนักเพราะถือว่าเป็นหุ้นที่มี duration สั้น
นางสาวพรทิพย์ ทันตสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยังให้ข้อมูลเพิ่มด้านกลยุทธ์การลงทุน โดยคาดการณ์ว่าสำหรับปี 2022 นี้ ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง เนื่องจากการฟื้นตัวที่อ่อนแอของเศรษฐกิจตามการฟื้นตัวที่ช้าของการท่องเที่ยว และมีปัจจัยลบจากการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในครึ่งปีแรก ดังนั้นการปรับลดลงของตลาดในช่วงครึ่งปีแรกจึงเป็นโอกาสเข้าซื้อ
ทั้งนี้ ความผันผวนของตลาดในครึ่งปีแรกน่าจะยังถูกกระทบจากการฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งปีหลัง การฟื้นตัวของผลประกอบการจะเร่งตัวขึ้น โดยเราคาดว่ากำไรต่อหุ้น หรือ EPS จะไปอยู่ที่ 94 บาทต่อหุ้น ในปี 2022 ซึ่งคิดเป็นการเติบโต 15% จากปี 2021
นอกจากนี้เรามองว่า หุ้นที่ควรลงทุนคือ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มพลังงานและกลุ่มสื่อสาร ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ และไม่ได้รับผลกระทบมากนักในช่วงที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้น ตลอดจนกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นกลยุทธ์การลงทุนหลักในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตามอง คือ การใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงควรเลือกหุ้นเป็นบางตัวในกลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มการเงิน โดยหุ้น 10 บริษัทที่แนะนำสำหรับปี 2022 ได้แก่ ADVANC, BBL, BDMS, CPALL, IVL, LH, MINT, PTTEP, TOP และ TU.