ทรู เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/64 ขาดทุนสุทธิ 602.8 ล้าน หลังรัฐใช้ยาแรงคุมโควิดทำกิจกรรมเศรษฐกิจไม่เกิด แต่ EBITDA โต 8% ขณะที่ฐานลูกค้า 5G โตขึ้นเป็น 1.5 ล้านราย คิดเป็น 14% ของลูกค้ารายเดือน
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยผลการดำเนินงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ 602.8 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี/64 ซึ่งคิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่า 20% จากปีก่อน โดยผลการดำเนินงานโดยสรุปมีดังนี้
กลุ่มทรูมีรายได้จากการให้บริการ 26,187 ล้านบาท อ่อนตัวลง 1.1% จากไตรมาส 3 ของปีก่อน จากผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีความเข้มงวดมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ทำให้กดดันรายได้ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงินและเพย์ทีวีของทรูวิชั่นส์
ขณะที่ ฐานผู้ใช้บริการทั้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5G บรอดแบนด์และดิจิทัล เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สร้างศักยภาพการเติบโตให้กับกลุ่มทรูต่อไปนอกจานี้การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กรส่งผลบวกต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลักลดลง 8.0% ผลักดันให้ EBITDA เติบโต 7.6% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน เป็น 14,366 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี หรือ EBIT เพิ่มขึ้น 15.2% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนเป็น 2,939 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี/64
โดยการขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ เป็น 602.8 ล้านบาท เทียบกับกำไรจำนวน 104.2 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 ซึ่งมีการบันทึกกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุน DIF ประมาณ 1.5 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น 57% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน (อ่านเอกสารประกอบทั้งหมดที่นี่)
ด้านนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส โควิด-19 ที่มีความเข้มงวดมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายภาคส่วนต้องเผชิญกับความท้าทายและเร่งปรับตัวสู่ดิจิทัลอย่างมาก ซึ่งความท้าทายที่เกิดขึ้นนั้น กลุ่มทรูมองเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้องค์กรเข้าสู่การดำเนินงานแบบดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ทั้งเรื่องการเติมเต็มเสริมช่องทางดิจิทัล ออนไลน์ หรือ e-commerce ในช่วงที่ต้องปิดให้บริการช็อปชั่วคราว ทำให้เพิ่มความสะดวกและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรม ขยายระบบนิเวศและแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็เร่งเสริมความแข็งแกร่งลงทุนด้านเครือข่ายสื่อสารทั้งโมบายล์และออนไลน์เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าที่เพิ่มมากชึ้น ซึ่งความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสจากความท้าทายเหล่านี้ทำให้มีสัญญาณเชิงบวกกับธุรกิจหลักของกลุ่มทรูที่สามารถขยายฐานลูกค้าได้ต่อเนื่องในไตรมาส 3 ทั้งมือถือ บรอดแบนด์และดิจิทัล อีกทั้งยังมีแนวโน้มเห็นผลที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นในหลายด้าน รวมถึงการเปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะกลับมา
นอกจากนี้ เราได้เห็นผลบวกที่ชัดเจนมากขึ้นจากการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีช่องทางครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน ยังได้ขยายความร่วมมือไปในภาคธุรกิจ นำบริการด้านดิจิทัล IoT และ 5G พร้อมโซลูชันทันสมัยแบบครบวงจรมาใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม
โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่งและการเดินหน้าเป็นองค์กรเทคคอมปานีของกลุ่มทรูที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมร่วมสร้างคุณค่าเพิ่มผ่านระบบนิเวศดิจิทัลที่ครบวงจรอย่างไม่หยุดนิ่ง จะสร้างความแตกต่างให้กลุ่มทรูสามารถมอบประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคและสนับสนุนให้ลูกค้าองค์กรเติบโตและประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนธุรกิจรองรับยุคดิจิทัลได้อย่างแน่นอน
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มด้านการเงิน บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มทรู ยังคงมีพัฒนาการเชิงบวกและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ EBITDA และ margin ยังคงเติบโตจากปีก่อน ท่ามกลางความท้าทายหลายอย่างจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มงวดมากขึ้นในไตรมาส 3/64
ขณะที่ การเดินหน้าขยายเครือข่ายโทรคมนาคมโดยเฉพาะ 5G ที่ครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศ รวมถึงการตัดจำหน่ายค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ ยังคงกระทบต่อผลกำไรของบริษัทในระหว่างไตรมาส อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ผ่านจุดการลงทุนที่สูงที่สุดไปแล้ว มีเครือข่ายและแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง พร้อมอย่างเต็มที่ในการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าว อีกทั้งจะเดินหน้าปรับโครงสร้างต้นทุนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อสร้างผลกำไรที่เติบโตได้อย่างยั่นยืน