กรุงไทย โชว์ผลงาน 9 เดือน ของปี 64 กวาดกำไรสุทธิ 16,645 ล้านบาท

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

กรุงไทย โชว์ผลงาน 9 เดือน ของปี 64 กวาดกำไรสุทธิ 16,645 ล้านบาท

Date Time: 20 ต.ค. 2564 19:09 น.

Video

บุกโรงงาน PANDORA ช่างไทยผลิตจิวเวลรี่ แบรนด์โลกแสนล้าน | On The Rise

Summary

  • ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิช่วง 9 เดือน ของปี 64 ที่ 16,645 ล้าน เฉพาะไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 5,055 ล้าน คงการตั้งสำรองในระดับสูง เพิ่ม Coverage ratio เป็น 163.9%

ธนาคารกรุงไทย โชว์กำไรสุทธิช่วง 9 เดือน ของปี 64 ที่ 16,645 ล้าน เฉพาะไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 5,055 ล้าน คงการตั้งสำรองในระดับสูง เพิ่ม Coverage ratio เป็น 163.9%

เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 64 นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังเผชิญความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารและบริษัทย่อยจึงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ โดยพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือ Expected credit loss ในระดับสูง

รวมถึงการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ พร้อมให้ความสำคัญกับการดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ประคองธุรกิจให้อยู่รอดและกลับมาเติบโตได้ในระยะข้างหน้า เมื่อรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการและกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง หนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว

สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือน ของปี 64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 16,645 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.3 จากช่วงเดียวกันของปี 63 โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 24,291 ล้านบาท แม้ว่าลดลง 31.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นการตั้งสำรองในระดับสูง

ทั้งนี้ ส่งผลให้ Coverage ratio เท่ากับ 163.9% เพิ่มขึ้น 147.3% ณ สิ้นปี 63 และ NPLs Ratio-Gross อยู่ที่ 3.57% ลดลง 3.81% ณ สิ้นปี 63 ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี ผลจากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

โดยธนาคารกรุงไทย และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้เท่ากับ 47,841 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากช่วงเดียวกันของปี 63 จากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 8.3% ตามรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง

แม้ว่าสินเชื่อจะขยายตัวได้ดีถึง 9.6% จากสิ้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง รวมถึงการลดลงของดอกเบี้ยเงินลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งส่งผลให้ NIM เท่ากับ 2.52% 

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 3.8 จากการบริหารจัดการในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 44.28% ใกล้เคียงกับ 44.45% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเท่ากับ 5,055 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ที่ลดลง 8.3% ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 1.8%

แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะขยายตัว 1.1% จากสินเชื่อที่ขยายตัวได้ดี และการบริหารต้นทุนทางการเงิน โดย NIM อยู่ที่ 2.51% ลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 2.55 โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 7.0% จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย 

อย่างไรก็ตาม หากเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3/63 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เพิ่มขึ้น 65.4% จากไตรมาสเดียวกันของปี 62 โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลง 34.5% มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองและภาษีเงินได้ ลดลง 8.0% มาจากรายได้รวมจากการดำเนินงานที่ลดลง 6.4% เป็นผลจากในไตรมาสเดียวกันของปี 62

เนื่องจากธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยพิเศษเงินให้สินเชื่อจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนอง ประกอบกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากดอกเบี้ยรับเงินลงทุนในตราสารหนี้ และรายได้จากการดำเนินงานอื่นที่ลดลง

ทั้งนี้ ธนาคารบริหารต้นทุนทางการเงินประกอบกับสินเชื่อขยายตัวได้ดี ซึ่งช่วยลดผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายในการภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 4.4% ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 46.21% ลดลงเล็กน้อย จากร้อยละ 47.16% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายได้ดอกเบี้ยพิเศษ)

ณ 30 ก.ย. 64 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 322,626 ล้านบาท และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 389,100 ล้านบาท คิดเป็น 16.10% และ 19.42% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงตามลำดับ 

นายผยง กล่าวอีกว่า แม้เศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 และการเปิดประเทศ แต่ในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารจึงยังคงรักษาระดับการตั้งสำรองในระดับสูง ติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้ทันการณ์ ตรงกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งมาตรการลดภาระทางการเงิน การเสริมสภาพคล่อง และเพิ่มช่องทางการขายสินค้าผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้ง Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงิน พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม โดยร่วมมือกับพันธมิตรทุกกลุ่มนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น พร้อมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ