เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เคาะราคา IPO ที่ 7.50 – 8.50 บาทต่อหุ้น ชูเชี่ยวชาญความบันเทิงแบบครบวงจร
เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 64 นายถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE กล่าวว่า เรามีโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุมธุรกิจสื่อและความบันเทิงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จากที่เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพที่มีความหลากหลายทั้ง ละคร ซิตคอม ซีรีส์ รายการวาไรตี้ และข่าว
โดยครอบคลุมทุกกลุ่มผู้ชมเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Premium Mass, กลุ่ม Family, กลุ่ม New Generation และกลุ่ม Edgy ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ นอกจากนี้ ยังประกอบธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การจัดงาน อีเวนต์ การบริหารศิลปินในสังกัดกว่า 200 ราย การขายสินค้าจากรายการและศิลปิน และการให้เช่าสถานที่ถ่ายทำ เป็นต้น
"การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยให้เราสามารถเพิ่มศักยภาพในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง สามารถพัฒนานักแสดงหน้าใหม่มากฝีมือเข้าสู่วงการบันเทิง ยกระดับคุณภาพของคอนเทนต์ไทยสู่ระดับสากล และเพิ่มขีดความสามารถในการนำคอนเทนต์ไปสู่ผู้ชมในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ ONEE สามารถขยายฐานผู้ชมได้ในทุกช่องทาง และส่งเสริมให้เราก้าวสู่ความเป็นผู้นำที่เชื่อมโลกการรับชมทุกแพลตฟอร์มเพื่อส่งมอบความบันเทิงและความสุขให้คนไทยและผู้ชมทั่วโลกสู่การเติบโตได้อย่างยั่งยืน"
ด้าน นายระฟ้า ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดกลุ่ม บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE กล่าวว่า เรามีกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ชมที่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ เห็นได้จากความสามารถในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเม็ดเงินโฆษณาผ่านช่องทางทีวีอย่างต่อเนื่อง และต่อยอดสู่การเผยแพร่คอนเทนต์ผ่านช่องทางออนไลน์ทั้ง Social Media และ OTT Platforms เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ชมที่หันไปบริโภคคอนเทนต์ทางช่องทางดังกล่าวที่มากขึ้น โดยปัจจุบันรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ถือเป็นส่วนสำคัญของกลุ่มบริษัทฯ ที่สามารถสร้างการเติบโตที่แข้งแกร่งได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เรายังได้มุ่งขยายฐานผู้ชมไปสู่ระดับสากลผ่านเครือข่ายพันธมิตร OTT Platforms ทั้งในและต่างประเทศ อาทิ Netflix, LINE TV, Disney+ Hotstar, WeTV, Viu, TRUE ID, AIS Play, IQIYI เป็นต้น ผ่านรูปแบบการบริหารลิขสิทธิ์และการรับจ้างผลิตให้แก่แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดยปัจจุบัน ONEE มีฐานผู้ชมครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและอีกกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้เราเป็นผู้นำในธุรกิจการผลิตและสร้างสรรค์คอนเทนต์ของคนไทยอย่างแท้จริง
นายอรรณพ เสนะสุทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม ONEE กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2561-2563 มีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้รวม 4,199 ล้านบาท 4,818 ล้านบาท และ 4,875 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี หรือ CAGR 7.7% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 73 ล้านบาท 228 ล้านบาท และ 658 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี 201.0%
โดยมีปัจจัยมาจากโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรที่สามารถสร้างรายได้จากทุกช่องทาง ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทฯ ที่ก้าวข้ามผ่าน Digital Disruption จากพฤติกรรมการรับชมรายการผ่านทางโทรทัศน์สู่ช่องทางออนไลน์
ส่วนรายได้รวมในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา (งวด 6 เดือน 2564) อยู่ที่ 2,783 ล้านบาท เติบโต 29.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 455 ล้านบาท เป็นการเติบโตกว่า 151.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยจากการเติบโตของรายได้รวม การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น การบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ช่วงราคาเสนอขายหุ้นเบื้องต้นที่ 7.50 – 8.50 บาทต่อหุ้นกำหนดจากผลตอบรับ และความสนใจเบื้องต้นของนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ แบบไฟลิ่งของ ONEE จะดำเนินการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวนไม่เกิน 496,252,500 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20.8 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการ IPO ในครั้งนี้
โดยประกอบไปด้วย 1. หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 476,250,000 หุ้น และ 2. หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยบริษัท ซีเนริโอ จำกัด จำนวนไม่เกิน 20,002,500 หุ้น โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายที่ 7.50 – 8.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าเสนอขายไม่เกิน 3,722 – 4,218 ล้านบาท และพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนที่เป็นบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จองซื้อในวันที่ 20-21 และ 25-26 ต.ค. 64 นี้ โดยจะต้องชำระเงินที่ราคา 8.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย