คาด Fed เดินเกมการเงินเข้ม หวั่น Bond Yield พุ่ง ฉุดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คาด Fed เดินเกมการเงินเข้ม หวั่น Bond Yield พุ่ง ฉุดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน

Date Time: 28 ก.ย. 2564 14:10 น.

Video

ศิรเดช โทณวณิก Gen 3 ดุสิตธานี ธุรกิจที่เป็นมากกว่าโรงแรม | On The Rise

Summary

  • Fed เดินเกมการเงินเข้มกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักวิเคราะห์หวั่น Bond Yield เด้งแตะ 1.7% อาจฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน

Fed เดินเกมการเงินเข้มกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักวิเคราะห์หวั่น Bond Yield เด้งแตะ 1.7% อาจฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน

เมื่อวันที่ 28 ก.ย.64 นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU กล่าวว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา Fed ส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond Yield ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแรงจาก 1.3% ก่อนการประชุม มาอยู่ที่ 1.45% ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน

แม้ว่าในรอบนี้ตลาดหุ้นยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากได้ปรับฐานลงมาก่อนจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในจีน แต่หาก Bond Yield ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องก็อาจจุดชนวนให้ตลาดปรับฐานอีกครั้งได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการ Fed จำนวน 9 จากทั้งหมด 18 คน สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า และส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากประชุมครั้งก่อนที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้ง นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ยังส่งสัญญาณว่าในปี 2567 จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง

สำหรับแผนการลดมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรือ QE เฟดส่งสัญญาณว่าจะเริ่มประกาศลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ในการประชุมวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2564 และยุติการทำ QE ในกลางปี 2565 กรณีนี้ชี้ว่า Fed จะลดการเข้าสินทรัพย์ลงเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเร็วกว่าตลาดคาดว่าจะลด QE ในอัตราเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้ประเมินโดยใช้แบบจำลอง (Earning Yield Gap Model) พบว่า หาก Bond Yield พุ่งขึ้นเกิน 1.7% ตลาดหุ้นโลกก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก

จากการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงที่ Fed ปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น พบว่าตลาดหุ้น Emerging Markets มักให้ผลตอบแทนต่ำและให้ผลตอบแทนติดลบ 6 ครั้ง จากทั้งหมด 7 ครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมากจากแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นที่มักให้ตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดต่างคาดการณ์กำไรปี 2564 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกันราว 7 - 9% แต่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นยังเทรดในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก

โดยค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) เทรดในระดับต่ำกว่า (Discount) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) มากถึง -24% และ -29% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ Discount มากสุดในรอบกว่า 10 ปี

จากประเด็นข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ จึงแนะนำให้นักลงทุนจับตา Bond Yield สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Emerging Market ลงหาก Bond Yield พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 1.7% และอาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นต่อไป


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ