บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส ปรับโครงสร้างธุรกิจพลังงานลดสัดส่วนถือหุ้น โฟกัสธุรกิจแพ็กเกจจิ้งเต็มตัว หลังปี 64 ลงทุนมาแล้วกว่า 5,000 ล้าน
เมื่อวันที่ 10 ก.ย.64 นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC กล่าวว่า บริษัทฯ ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างการลงทุนในธุรกิจพลังงานเป็นรูปแบบ Passive Investment มีสัดส่วนการลงทุนน้อยกว่า 20% เพื่อกระจายความเสี่ยง
รวมถึงการคงไว้ซึ่งเสถียรภาพและความมั่นคงของรายได้ รวมถึงสอดคล้องกับนโยบายที่มุ่งเน้นการลงทุนและเติบโตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก ภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่ต้องการมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว จาก 1.1 หมื่นล้านบาท เป็น 2.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2568
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 ที่ผ่านมา มีมติให้นำเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2564 วันที่ 5 พ.ย. 64 เวลา 14.00-16.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ (Electronic Meeting) ดังนี้
1. อนุมัติการจำหน่ายหุ้น 100% ที่ถืออยู่ในบริษัท โซล่า พาวเวอร์ แมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ SPM ให้แก่ บริษัท บีจี เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด หรือ BGE เพื่อแลกกับหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BGE จำนวน 7.5 ล้านหุ้น หรือ 27.27% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ BGE
2. อนุมัติการจำหน่ายหุ้นจำนวน 2.02 ล้านหุ้น หรือ 7.35% ที่ถืออยู่ใน BGE ให้แก่ บริษัท บางกอกกล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BG ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินจำนวนกว่า 600 ล้านบาท และคงเหลือสัดส่วนถือหุ้นในธุรกิจด้านพลังงานผ่าน BGE ที่ 19.93%
3. อนุมัติให้ SPM ทำสัญญากู้ยืมเงินจาก BGE วงเงินไม่เกิน 270 ล้านบาท เพื่อให้ SPM มีเงินทุนในการชำระเงินกู้ยืมเดิมและดอกเบี้ยค้างชำระ
ทั้งนี้ หลังจากที่เราได้ปรับโมเดลธุรกิจยกระดับจากผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว สู่ Total Packaging Solutions ด้วยการนำเสนอบริการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (One stop service) ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์แก้ว พร้อมฉลาก ฝา และกล่องกระดาษ บริษัทฯ จึงมุ่งขยายการลงทุนในธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก นำมาซึ่งการปรับโครงสร้างธุรกิจด้านพลังงานในครั้งนี้
นายศิลปรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้น BGE และได้รับคืนเงินกู้ยืมจาก SPM มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการหลัก และชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นบางส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ นับจากเดือนมกราคมที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์และลงทุนเตาหลอมแก้วแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท
ได้แก่ การเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด หรือ BGP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวด PET หลอดพรีฟอร์ม และเข้าถือหุ้น 100% ในบริษัท บางกอกบรรจุภัณฑ์ จำกัด หรือ BVP ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์กระดาษ ใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1,650 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนการลงทุนก่อสร้างเตาหลอมแก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรี ใช้งบลงทุน 1,600 ล้านบาท และลงทุนขยายกำลังผลิตโรงงานจังหวัดปราจีนบุรี ใช้งบลงทุนรวม 910 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 13% เป็น 3,935 ตันต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3,495 ตันต่อวัน
นอกจากนี้ ได้ขยายกำลังการผลิตถุงบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ในบริษัท บีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด หรือ BGP เพื่อตอบสนองความต้องการถุงบรรจุภัณฑ์ในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงและขยายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจกลางน้ำ เพื่อผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน โดยใช้งบลงทุนกว่า 180 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการไตรมาส 1/2565 และผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในไตรมาส 1/2566
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ให้รับประทานอาหารภายในร้านอาหารได้บางส่วน ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลดีจากการจำหน่ายขวดบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มและน้ำดื่มเพิ่มขึ้น และถ้าสถานการณ์ยังดีอย่างต่อเนื่อง
โดยเราคาดว่ารัฐบาลจะทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งจะทำให้เกิดการจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงปลายปีและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ในปีนี้ ที่จะมีรายได้และกำไรเติบโตกว่าปีก่อน