การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนกลับเสี่ยงยิ่งกว่า และถ้าไม่มีความรู้ในสิ่งที่ลงทุน นั่นคือสุดยอดของความเสี่ยง!! วิกฤติโควิด-19 ทำให้เกิดปรากฏการณ์นิวนอร์มอลมากมาย โดยหนึ่งในกระแสมาแรงน่าจับตามองคือการผุดขึ้นอย่างคึกคักของ “นักลงทุนยุคโควิด–19” ที่เป็นละอ่อนหน้าใหม่เพิ่งกระโจนเข้าสังเวียนการลงทุนในตลาดหุ้น โดยนับจากต้นปีมีรายย่อยทำสถิติเปิดบัญชีใหม่เพื่อเทรดหุ้นมากกว่า 1 ล้านบัญชี สร้างความดี๊ด๊าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งๆที่ตลาดหุ้นไทยตั้งมาเกือบ 5 ทศวรรษ แต่มีนักลงทุนรายย่อยในตลาดอยู่แค่ 2 ล้านกว่าคนมานานโข
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่า ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และถ้าไม่มีความรู้ในสิ่งที่ลงทุน นั่นคือสุดยอดของความเสี่ยง ในขณะที่ดัชนีหุ้นไทยฝ่าแนวต้านสำคัญทะลุ 1,600 จุด มาได้เหนือคาด พร้อมรับข่าวดีการเปิดเมืองอีกครั้ง ต้นแบบนักลงทุนขวัญใจคนรุ่นใหม่ “ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” ผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัล หลักทรัพย์บัวหลวง ฉีกตำราการลงทุน VI ยุคเก่า ฟันธงชัดรอบนี้ถึงเวลาทองของ “หุ้นขนาดเล็ก” จะเป็น “Super Stock” ปั้นพอร์ตสวยกำไรหลายเด้งแล้ว พักยาวไปเลยสำหรับหุ้นขนาดใหญ่ ที่ทั้งหนักทั้งอุ้ยอ้ายคอยฉุดรั้งพอร์ตไม่ให้โต
“ผมว่าตอนนี้ตลาดเป็นขาขึ้นรอบใหม่แล้ว ตั้งแต่ดัชนีหุ้นไทยตกรุนแรงเมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว ถ้าวัดจากจุดนี้เราจะเห็นหุ้นที่ขึ้นมาในรอบใหม่ตั้งแต่ 3 เด้ง ไปจนถึง 10 เด้ง มีไม่น้อยกว่า 50–60 ตัว แต่เป็นหุ้นขนาดเล็กทั้งนั้น ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง รอบนี้ตลาดเปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือน 2 รอบใหญ่ที่ผ่านมา ถ้าแบ่งตลาดออกเป็นรอบๆ รอบหนึ่งประมาณ 10 ปี ในรอบที่แล้วยุควิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ถึงต้นปี 2020 เราได้เห็นหุ้นขนาดกลาง เช่น AOT และ KTC กลายเป็นซุปเปอร์สต๊อกขึ้นมาที 40–50 เด้ง สร้างเซียนหุ้นหน้าใหม่อย่างคึกคัก หรือแม้แต่ COM7 จากบริษัทเล็กๆก็ขึ้นมาไม่หยุดจนเจ้าของกลายเป็นเศรษฐีหุ้นไปแล้ว ถ้าย้อนไปรอบวิกฤติต้มยำกุ้ง ตั้งแต่ปี 1997–2007 ตอนนั้นเป็นยุคของหุ้นขนาดใหญ่ เช่น CPALL ที่เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิตทำให้เกิดตำนานนักลงทุน VI อย่าง “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” แต่มาถึงยุควิกฤติโควิด–19 ในรอบนี้ ผมว่าถึงเวลาของ “หุ้นขนาดเล็ก” บ้างแล้ว
ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่กลายเป็นหุ้นเก็งกำไรแทน สมัยก่อนตามตำรา VI จะบอกให้ซื้อหุ้นใหญ่แล้วถือยาวๆไป แต่มันใช้ไม่ได้แล้วกับการเล่นหุ้นรอบนี้ เพราะนักลงทุนต่างชาติและกองทุนสถาบัน ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในหุ้นตัวใหญ่ หันมาใช้บล็อกเทรดทำกำไร ทำให้เวลาเล่นหุ้นใหญ่ใส่มาร์จิ้นได้เยอะ เล่นได้ 10 เท่าของเงินลงทุนจริง รอบนี้หุ้นใหญ่เลยถูกเอามาเล่นเก็งกำไร สังเกตเลยว่าหุ้นใหญ่ขึ้นอยู่ไม่กี่วัน พอขึ้นถึงจุดหนึ่งก็เปรี้ยงถูกทุบลงมาที่เดิม คนที่ทุบก็คนเดียวกับที่ซื้อนั่นแหละ ตอนขึ้นเขาใช้มาร์จิ้นบล็อกเทรดซื้อ พอหุ้นลงก็ช็อตตลาดลงมา เพื่อกินกำไรทั้งสองขา ทำให้คนที่อยากเป็น VI ถือหุ้นใหญ่ยาวๆในรอบนี้มันทำไม่ได้ ซื้อไปก็ลงมาอยู่ที่เดิม วนขึ้นวนลงไม่ไปไหน ภาวะแบบนี้ไม่รู้จะกินเวลาไปนานเท่าไหร่”
หรือจะหมดยุคของหุ้นขนาดใหญ่ และถึงคราวอวสาน VI ซะแล้วไม่ถึงขั้นอวสานหรอก แต่ VI ต้องเปลี่ยนหุ้นเล่นคิดกลยุทธ์ใหม่ ที่ผ่านมาผมเป็น VI แท้ๆ ชอบเล่นแต่หุ้นตัวใหญ่ ซื้อแล้วถือยาวเลย แต่รอบนี้เปลี่ยนมายด์เซตใหม่หมด VI รุ่นใหญ่คนอื่นๆอาจปรับตัวหนีบล็อกเทรดไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่โกรทสูง เช่น เวียดนาม แต่ผมยังรักตลาดหุ้นไทย จึงหันมาเน้นลงทุนหุ้นขนาดเล็กในตลาด mai มากกว่า SET เพราะเชื่อว่าหุ้นขนาดเล็กที่มีแนวโน้มเติบโตสูง จะกลายเป็นหุ้นซุปเปอร์สต๊อกในรอบนี้ ซึ่งมีโอกาสขึ้นได้หลายๆเด้ง ถ้าเราเข้าถูกตัว
เซียนหุ้นและเศรษฐีหุ้นดังๆจะต้องมีหุ้นซุปเปอร์สต๊อกที่สร้างชื่อในแต่ละรอบ เช่น “ดร.นิเวศน์” ได้ CPALL เป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต หรือ “เซียนฮง-สถาพร งามเรืองพงศ์” สร้างชื่อจากหุ้น KTC และ “หมอพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี” รวยมาจาก COM7 คอนเซปต์ของหุ้นซุปเปอร์สต๊อกจะต้องขึ้นมากกว่า 10 เด้ง ภายในระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป แต่เมื่อมันได้สร้างเซียนสร้างเศรษฐีหุ้นไปแล้วแปลว่าซุปเปอร์สต๊อกในรอบที่แล้วจะไม่ใช่ซุปเปอร์สต๊อกในรอบใหม่อีกต่อไป โดยวิธีคัดหุ้นซุปเปอร์สต๊อกรอบนี้ ซึ่งจะกินเวลาตั้งแต่ปี 2020-2030 มี 5 หลักการ 1) มันจะต้องไม่ใช่หุ้นซุปเปอร์สต๊อกตัวเดียวกับรอบที่แล้ว ถ้ามันเคยทำให้คนรวยมหาศาลมาแล้ว มันจะไม่ทำให้เรารวยในรอบนี้ 2) มันจะต้องไม่ใช่หุ้นยอดฮิต ถ้ามันฮิตจะพักฐานไม่ค่อยวิ่ง เพราะมีรายย่อยแห่เข้าไปซื้อจนหุ้นหนัก 3) เป็นหุ้นที่รายย่อยไม่กล้าถือนาน หรือถือแล้วก็มักจะขายหมู 4) พื้นฐานของหุ้นต้องเติบโตจริงและโตต่อเนื่อง ข้อนี้เป็นตัวแยกระหว่างหุ้นซุปเปอร์สต๊อกกับหุ้นปั่น ถ้าเป็นซุปเปอร์สต๊อกเด้งแล้วจะลอยเลยไม่ลงไปที่จุดเดิมอีก 5) หุ้นที่คุณคิดว่าใช่มันจะไม่ใช่ หุ้นซุปเปอร์สต๊อกจะต้องเป็นหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเป็นซุปเปอร์สต๊อก เช่น ถ้า SET ลง หุ้นเราลงเยอะกว่า SET แต่เวลา SET ขึ้น หุ้นเราขึ้นน้อยกว่า แสดงว่ามันจบไปแล้ว แต่เรายังยื้ออยู่ แบบนี้ไม่ใช่ซุปเปอร์สต๊อก การซื้อหุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้วยังไงก็เสียเปรียบตั้งแต่ต้น คนที่มีทุนต่ำชนะตั้งแต่ซื้อแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างหุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้วกับหุ้นที่มีเสน่ห์น้อยกว่าแต่ยังไม่ขึ้น ผมเลือกแบบหลังนะ เพราะยังไงก็แพ้ยาก
การเล่นหุ้นปั่นก็เหมือนวิ่งตัดหน้าสิบล้อเพื่อเก็บเหรียญบาท ซึ่งคนเล่นคิดว่าเก็บเหรียญได้แล้วหนีทัน แต่จริงๆมันอันตรายมาก โดยเทคนิคการคัดหุ้นเติบโตแยกออกจากหุ้นปั่น ก็มีหลายวิธี เช่น 1) ถ้าเป็นหุ้นเติบโตจะต้องเป็นหุ้นที่มีเจ้าของ โดยเบอร์หนึ่งควรถือมากกว่า 30% หรือรวมๆทั้งครอบครัวถือมากกว่า 50% 2) หุ้นโกรทจะต้องมีพื้นฐาน สามารถเติบโตต่อเนื่องได้ โดยดูจากรายได้และกำไรว่าเติบโตต่อเนื่องไหมต้องมีสินค้าดีที่คนรู้จัก และมีกลุ่มลูกค้าชัดเจนที่บ่งบอกความยั่งยืนของธุรกิจตรงนี้คือจุดต่างชัดเจน เพราะถ้าเป็นหุ้นปั่นจะไม่มีสินค้าเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ใครฮิตอะไรก็จะทำตามกระแสไปเรื่อยๆ 3) พยายามหาหุ้นต้นรอบ สังเกตง่ายๆจากมูลค่าตลาดโดยรวมจะต่ำ ถ้าปลายรอบมาร์เกตแค็ปจะสูงเกินพื้นฐาน เช่น กำไรปีละร้อยล้าน แต่มีมูลค่าตลาดหมื่นล้าน PE เป็น 100 เท่า แถมวอลลุ่มเป็นพันล้าน แบบนี้หุ้นปั่นแน่นอน 4) ถ้าเป็นหุ้นเติบโต เจ้าของจะกลับมาซื้อหุ้นของตัวเองคืนเสมอ เพราะรู้ว่าหุ้นดีมีอนาคต ตรงข้ามกับหุ้นปั่นที่เจ้ามือขายทิ้งโกยกำไรแล้วจะไม่กลับมาดูแลอีกเลย
ตอนนี้ผมมีหุ้นเต็มพอร์ต แทบไม่เหลือเงินสด หลายคนบอกว่าเศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นขึ้นไม่สมเหตุสมผล ควรถือเงินสดไว้เยอะๆ แต่ผมซื้อสวนเลย เพราะเชื่อว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นต้องคิดต่างจากคนส่วนใหญ่ เรียกว่าคนส่วนใหญ่คิดยังไงตรงนั้นคือจุดที่น่ากลัว ผมเชื่อว่ารอบนี้หุ้นใหญ่เอาไว้เทรดสั้นดีกว่า เพราะคุมโดยรายใหญ่ที่ใช้มาร์จิ้น เขาเล่นด้วยระเบิด แต่เราถือมีดเข้าไปก็มีแต่แพ้ ถ้าอยากเล่นหุ้นให้ชนะต้องเลือกสนามที่เรามีความได้เปรียบ เราอยู่ในเกมเสี่ยง
ที่ต้องเข้าใจความเสี่ยงถึงจะประสบความสำเร็จ การเทรดบ่อยๆซื้อขายเข้าออกเร็วๆยิ่งทำให้มีโอกาสผิดพลาดเยอะ คนจะรวยได้ต้องหาจุดทำน้อยได้ผลลัพธ์เยอะ
คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดหุ้นมักอดทนรวยไม่เป็น พอหุ้นขึ้นไปนิดเดียวก็ขายแล้ว หรือเต็มที่ขายตอนได้ 1 เด้ง เพื่อเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ โดยหวังว่าจะเด้งอีก แทนที่จะถือหุ้นตัวเดิมที่ดีอยู่แล้ว และรอให้ขึ้นไป 5-6 เด้ง มันจะไม่มีหุ้นที่ทำให้คนทั้งตลาดรวยพร้อมกันหรอก ผมพยายามท้าทายตัวเองเสมอ ถ้าหุ้นที่ผมคัดมาแล้วคนอื่นมองว่าไม่ใช่ซุปเปอร์สต๊อก อันนี้ผมจะซื้อเพิ่มนะ แต่ถ้าคนเริ่มพูดถึงเยอะ อันนี้อาจต้องขายออกบางส่วน การอดทนรวยสามารถขายระหว่างทางได้บ้างเพื่อ
ลดความอึดอัด แต่ 60-70% ของหุ้นต้องถือยาวไป ถึงจะปั้นกำไรได้หลายเด้ง
ตอนนี้คือจังหวะที่ควรอดทนรวยให้เป็นที่สุด!! เพราะรอบนี้หุ้นเพิ่งขึ้นมาปีเดียว ปกติจากจุดต่ำสุดขึ้นไปถึงจุดสูงสุดใช้เวลา 3-5 ปี ยังมีเวลาค้นหาหุ้นหลายเด้งอีกเยอะ สำคัญคืออยากได้ผลตอบแทนเป็นเนื้อเป็นหนังต้องอดทนรวยให้เป็น หุ้นจะขึ้นหลายเด้งได้ ถ้าอยากรวยรอบนี้ต้องหาหุ้นตัวเล็ก ที่กำไรโตเป็นเท่าตัวต่อเนื่องทุกปี ยอดขายเติบโตจริง และมาร์เก็ตแค็ปไม่สูงมาก ใครถือหุ้นตัวไหนแล้วลงเกิน 30% แสดงว่ามาผิดทางแล้ว ก็ต้องขายทิ้งไปก่อน เลิกหลอกตัวเองว่าไม่ขายไม่ขาดทุน อยากจะรวยต้องรวยอย่างมีเหตุผลและมีความรู้ ไม่เอาแบบรวยไม่รู้เรื่องครับ!!
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ