โอสถสภา โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 ทำกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% เน้นการบริหารงานแบบมี Agility ชูแบรนด์หลักอย่าง เอ็ม-150 และ C-vitt โตต่อเนื่อง
ธนา ไชยประสิทธิ์ รักษาการ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 ตั้งแต่ก.ค.-ก.ย.63 บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยมีกำไรสุทธิ 923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากจุดแข็งในการดำเนินธุรกิจของ OSP ได้แก่ความสามารถในการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที การคาดการณ์สถานการณ์ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าอย่างรอบด้าน ทั้งการผลิต การตลาด การขาย การขนส่ง
นอกจากนี้ ยังมีความได้เปรียบจากการมีแบรนด์ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดมานาน และแบรนด์เหล่านี้เป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มเอ็ม-150 เครื่องดื่มซีวิท และผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงครองความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่ง 54.4% โดย เอ็ม-150 ยังคงเป็นผู้นำตลาด ในขณะที่แบรนด์ C-vitt ยังคงเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีที่ผู้บริโภคชื่นชอบในรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และมั่นใจในด้านคุณภาพ
ทั้งนี้ เป็นเพราะเป็นเครื่องดื่มวิตามินซีสูงรายแรก ที่พัฒนามาจากแบรนด์ของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทย ประกอบกับการเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องดื่มวิตามินซีวิท ได้เร็วกว่าแผนงาน ทำให้สามารถรองรับการขยายตัวต่อเนื่องของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบัน C-vitt มีส่วนแบ่งตลาด 32.0% และช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ในประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับ ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ‘เบบี้มายด์ ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์หลักของโอสถสภาที่ผู้บริโภคเลือกใช้ ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในขณะนี้
โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เฮลตี้พลัส ที่มีการผสานเอสเซ้นส์ออร์แกนิค อโรเวล่า ซึ่งได้รับการรับรอง ECOCERT® ผ่านการทดสอบการระคายเคืองจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ปราศจากสารเคมีอันตราย อาทิ วิปโฟมล้างมือ เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ และสเปรย์ทำความสะอาดพื้นผิวและของใช้สำหรับเด็ก จึงสามารถรักษาการเติบโตได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้สอดรับการซื้อสินค้าของผู้บริโภคผ่าน E-Commerce และการผสานกับช่องทางออฟไลฟ์ (ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกทั่วไป) ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ OSP สามารถเข้าถึงครอบคลุมลูกค้าหลากหลายกลุ่มที่มีพฤติกรรมการซื้อสินค้าที่แตกต่างกัน ประกอบกับการบริหารจัดการภายใต้โครงการ Fit Fast Firm เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนโดยรวมซึ่งทำได้ดีกว่าแผนงาน
รวมถึงการเริ่มเปิดดำเนินการโรงงานแห่งใหม่ในเมียนมา ช่วยสนับสนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จึงส่งผลดีต่อภาพรวมการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 (มกราคม-กันยายน)
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมบุกตลาดอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 การเพิ่มกำลังผลิตที่เสร็จสมบูรณ์ทั้งในประเทศไทย และประเทศเมียนมา ทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถสนองตอบความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที