เศรษฐินีศรีราชา มีโอกาสได้อ่านข้อมูลจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ หรือ PIER Research ที่ศึกษาเรื่อง "ภาษีกับการลงทุนระยะยาวของคนไทย" บอกได้คำเดียวว่า เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจริงๆ เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ
ทุกวันนี้ก็ถามตัวเองทุกวัน ถ้าเกษียณแล้ว ไม่ได้ทำงานแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาดูแลตัวเอง โดยเฉพาะสาวโสดแบบเศรษฐินีศรีราชา ที่พึ่งสุดท้ายอย่างบ้านพักคนชราก็ยังต้องใช้เงิน ฉะนั้นลองมาอ่านบทความนี้ก็พอจะกระตุ้นให้อยากลงทุนแบบยาวๆ ดูบ้าง ได้ทั้งลดหย่อนภาษี และมีเงินเก็บไว้ใช้ช่วงสุดท้ายของชีวิต
ทั้งนี้ ผศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คุณทรงวุฒิ บุรงค์ จากกรมสรรพากร วิเคราะห์ข้อมูลภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ฉายภาพการออมและการลงทุนของคนไทยผ่านระบบภาษี เปรียบเทียบนโยบายภาษีในด้านการออมเพื่อการเกษียณของไทยและต่างประเทศ
โดยมีข้อค้นพบสำคัญว่า ภาพรวมผู้เสียภาษีมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการออม และการลงทุนค่อนข้างมาก และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สัดส่วนผู้เสียภาษีมีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มจาก 52% ในปี 2007 เป็น 63% ในปี 2018 และอัตราการออมผ่านระบบภาษีอยู่ที่ประมาณ 10% ของรายได้ในปี 2018 เพิ่มขึ้น 32% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ประเด็นที่น่ากังวลคือ คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย มีการลงทุนระยะยาวน้อยมาก โดยสัดส่วนของผู้มีการลงทุนระยะยาวผ่านระบบภาษี เช่น LTF RMF และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อยู่ที่ประมาณ 20%-30% ของผู้เสียภาษีรายได้น้อยและปานกลางเท่านั้น สัดส่วนดังกล่าวต่างจากของผู้มีรายได้สูงราว 70% อย่างชัดเจน
มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ในกลุ่มรายได้ปานกลาง ประมาณ 20-30% ของผู้เสียภาษีเลือกที่จะมีการลดหย่อนภาษีเพื่อการประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว ซึ่งสะท้อนว่าคนรายได้ปานกลางมีการออมเงิน แต่อาจจะให้ความสำคัญต่อการลงทุนเพื่อการเกษียณไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม แรงจูงใจภาษีสำคัญมากสำหรับการตัดสินใจลงทุนของผู้ที่มีรายได้ปานกลาง โดยการเปลี่ยนแปลงแรงจูงใจภาษีนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนระยะยาวของคนไทย แต่ความสำคัญสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางมีขนาดใหญ่กว่าของผู้ที่มีรายได้สูงอย่างชัดเจน
แรงจูงใจภาษีมีอิทธิพลสูงต่อการตัดสินใจลงทุนในกลุ่มผู้มีความรู้ทางการเงินต่ำ ทั้งในมิติของความซับซ้อนทางการเงิน และวินัยทางการเงิน ผลการศึกษานี้ชี้ถึงศักยภาพของเครื่องมือภาษีในการกระตุ้นการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นกลุ่มเสี่ยงในแง่ของการเตรียมความพร้อมทางการเงินหลังเกษียณ
สำหรับแนวทางพัฒนาคือ การส่งเสริมความรู้ทางการเงินต้องครอบคลุมถึงความเข้าใจทางเลือกการออมและการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท ควรจะทำให้คนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง สามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการออมและการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่จะสอดคล้องต่อเป้าหมายทางการเงินหลังเกษียณของตนเองได้
รวมถึงสนับสนุนนโยบายการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนระยะยาว ที่รัฐจำเป็นต้องติดตามพฤติกรรมการลงทุนและประสิทธิผลของมาตรการต่อไป โดยเฉพาะเรื่องแรงจูงใจภาษีในกลุ่มคนรายได้ปานกลาง ที่ส่งผลให้มีการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนโยบายในปี 2563
ยกตัวอย่างเช่น การขยายโอกาสในการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับคนรายได้ปานกลางและรายได้น้อย จำกัดวงเงินการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับคนรายได้สูง และผ่อนคลายเงื่อนไขเกณฑ์ลงทุนขั้นต่ำสำหรับ RMF เพื่อให้นโยบายภาษีตอบโจทย์ทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัยและความยั่งยืนทางการคลัง.
ผู้เขียน : เศรษฐินีศรีราชา
กราฟิก : Supassara Traiyansuwan