ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 12 ต.ค.63 ปิดที่ 1,273.43 จุด เพิ่มขึ้น 6.29 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 46,573.18 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 758.24 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 34.25 บาท บวก 1 บาท, STA ปิด 30.25 บาท บวก 2.50 บาท, CPF ปิด 27 บาท ลบ 0.50 บาท, STGT ปิด 89 บาท บวก 3 บาท และ NER ปิด 4.20 บาท บวก 0.32 บาท
หุ้นไทยปรับขึ้นจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศหนุนหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินตลาดสัปดาห์นี้อาจมีการพักตัว แนะกลยุทธ์ทยอยขายทำกำไร หรือ “ถือ” เพื่อรอดูผลการชุมนุม 14 ต.ค.นี้ ก่อนตัดสินใจด้านเทคนิค คาดดัชนีแกว่งในกรอบ 1,250-1,290 จุด
โดยมีปัจจัยบวกที่หนุนตลาดคือ รัฐบาลทยอยออกมาตรการเศรษฐกิจรอบใหม่ ขณะที่สหรัฐฯสามารถตกลงกันได้ในมาตรการงบเยียวยาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังต้องจับตางบไตรมาส 3 ของกลุ่มธนาคารที่จะประกาศสัปดาห์นี้
ขณะที่ บล. เอเซีย พลัส คาดว่าการชุมนุม 14 ต.ค.นี้ จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะ Wait & See เพื่อรอติดตามสถานการณ์ และเฝ้าดูว่าการชุมนุมจะมีผลต่อการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ รวมทั้งการออกมาตรการเพื่อดึงเศรษฐกิจไทยออกจากภาวะถดถอย ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน
แนะกลยุทธ์ลงทุน ให้เน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกจากการมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 ซึ่งถือเป็นแรงส่งที่ดีในยามที่ตลาดฯขาด Fund Flow หนุน ซึ่งฝ่ายวิจัยชื่นชอบ DCC และ JMART
โดยคาดว่ามีหุ้น 6 บริษัทที่มีโอกาสผ่านการคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 รอบครึ่งปีแรก 64 ประกอบด้วยหุ้น SCGP-BAM-DELTA-COM7-DCC-JMART
โดยคาดว่า SCGP ซึ่งจะเข้าซื้อขายวันที่ 22 ต.ค.นี้ จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50-100 ด้วยเกณฑ์ Fast track เพราะมีมูลค่ามาร์เกตแคป ระดับ 1.4-1.5 แสนล้านบาท ส่วนอีก 5 ตัวราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมา Outperform ตลาดค่อนข้างมาก บวกกับมูลค่าซื้อขายที่เร่งตัวขึ้น ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่เผชิญหลายปัจจัยลบ กดดันดัชนีตลาดลดลงเกือบ 20% จากต้นปี
ขณะที่หุ้น 7 ตัวที่มีโอกาสหลุดออกจากการคำนวณดัชนี SET50/SET100 คือ TCAP–BPP–WHA–IRPC–ERW–AAV และ SIRI!!
อินเด็กซ์ 51