TNR ผู้ผลิตถุงยางอนามัย PLAYBOY มั่นใจแม้มีโควิด-19 แต่ยอดขายยังเติบโต

TNR ชูถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY ในตลาดต่างประเทศเติบโต ปูพรมขายสินค้าในห้างวอลล์มาร์ท อเมริกา มากกว่า 4,000 สาขา พร้อมได้พื้นที่วางสินค้าเพิ่มจาก 4 รุ่น เป็น 9 รุ่น 

นายวรัญญู ดารารัตนโรจน์ รองผู้จัดการทั่วไป แผนกพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น Onetouch, Niptex และ PLAYBOY กล่าวว่า เราประเมินว่า เราคาดว่าถุงยางอนามัยแบรนด์ PLAYBOY จะสร้างยอดขายในปีนี้ได้ไม่ต่ำกว่าปี 62 ที่ผ่านมา ที่มียอดขายกว่า 280 ล้านบาท

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่เราก็ยังมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อการรุกขยายตลาดตามแผนงานที่วางไว้

สำหรับความคืบหน้าการขยายตลาดในสหรัฐฯ สามารถแบ่งเป็น 2 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางห้างค้าปลีกและร้านค้า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ส่งผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัย PLAYBOY จำหน่ายในห้างวอลล์มาร์ทแล้วรวมมากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ

นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิ์เพิ่มพื้นที่ขายสินค้าเป็น 9 รุ่น จากเดิม 4 รุ่น ล่าสุดบริษัทเพิ่งได้รับคำสั่งซื้อสินค้าลอตใหญ่จากตัวแทนจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ ขณะเดียวกันได้รุกขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มเติมภายในร้านขายยาภายใต้แบรนด์ CVS ที่มีสาขาส่วนใหญ่อยู่ในย่านใจกลางเมืองอีกด้วย

นายวรัญญู กล่าวอีกว่า ในส่วนของช่องทางออนไลน์ในสหรัฐฯ นั้นปัจจุบันได้รุกเปิดร้านออนไลน์ในรูปแบบ Shop in Shop บน www.amazon.com โดยได้เพิ่มทางเลือกแก่ลูกค้า เช่น รุ่นบรรจุถุงยางอนามัยกล่องละ 12 ชิ้น โดยปัจจุบันได้รับคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มเติม รวมมูลค่าประมาณกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเตรียมส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ ภายในเดือน ต.ค.นี้

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ ได้แก่ เวเนซุเอลา และมองโกเลีย รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในทวีปยุโรปอีก 5-6 ประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม บัลแกเรีย ลักเซมเบิร์ก โรมาเนีย เป็นต้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ PLAYBOY มีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 ประเทศ

ส่วนความคืบหน้าการขยายช่องทางจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ล่าสุดได้ขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้านขายยาในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายในภูมิภาคต่างๆ โดยในปีนี้สามารถนำสินค้าวางจำหน่ายในร้านขายยาแบบดั้งเดิมและเชนร้านยาได้แล้วทั้งสิ้นกว่า 1,400 สาขา และยังมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันยอดขายสินค้าเป็นไปตามเป้าหมาย.