ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 ก.ย.63 ปิดที่ 1,293.48 จุด บวก 7.30 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 52,708.97 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,184.29 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด นำโดย TASCO ปิด 16 บาท ลบ 1.40 บาท, AOT ปิด 61.50 บาท บวก 2 บาท, MINT ปิด 23.30 บาท บวก 0.30 บาท, BBL ปิด 100 บาท ลบ 3.50 บาท, PTT ปิด 35.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
ตลาดหุ้นไทยยังคงเด้งขึ้นมาปิดบวก รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากรัฐบาล จะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบพิเศษ (STV) และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังรอติดตามผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยว Long stay โดยจะเปิดให้เข้าประเทศได้ตั้งแต่เดือน ต.ค.นี้ ส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1.กลุ่มท่องเที่ยว (CENTEL, ERW, MINT) คาดว่าจะเห็น demand ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวยุโรป ทำให้มีโอกาสจะเป็น upside เพิ่มต่อกลุ่มท่องเที่ยวได้
คาดว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์สูงสุดคือกลุ่มโรงแรมที่มีสัดส่วนรายได้จากในประเทศจากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นหลัก โดยหุ้นที่เรียงรายได้ตามสัดส่วนรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวยุโรปที่มาเที่ยวไทยจากมาก-น้อย คือ CENTEL (24%), ERW (15%) และ MINT (5%) ขณะที่โรงแรมที่เข้าร่วม Alternative State Quarantine (ASQ) เรียงจากมาก-น้อยได้แก่ MINT, CENTEL และ ERW
ทั้งนี้ คงน้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่าตลาด” ชอบสุดคือ MINT (ซื้อ/เป้า 28 บาท) ได้ประโยชน์ทั้งจากการเปิดประเทศที่ไทย และยุโรปฟื้นตัวได้ดีกว่าไทย
กลุ่มสายการบิน (BA, AAV) มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มสายการบิน ที่จะทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวในประเทศ ได้แก่ BA ที่มีเที่ยวบินสมุยที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และ AAV (ถือ/เป้า 2.00 บาท) ที่มีการเปิดเที่ยวบินในประเทศมากสุด ส่วน AOT (ถือ/เป้า 59.00 บาท) ได้ผลบวกจากจำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
กลุ่ม Healthcare (BCH) มีมุมมองเป็นบวกกับ รพ.ที่เข้าร่วมโครงการ ASQ คาดว่า BCH (ซื้อ/เป้า 19.60 บาท) ได้ประโยชน์สูงสุดจากสัดส่วน ASQ มากที่สุดสูงถึง 25% ของจำนวนห้องที่เข้าร่วมโครงการ ASQ ทั่วประเทศ
ขณะที่ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะซื้อ BDMS ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 24.30 บาท!!
อินเด็กซ์ 51