ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 ก.ย.63 ปิดที่ 1,272.34 จุด ลดลง 7.62 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 40,463.20 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 526.66 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CBG ปิด 110 บาท ลบ 3.50 บาท, CPF ปิด 29 บาท ลบ 0.25 บาท, CPALL ปิด 62.50 บาท ลบ 0.50 บาท, MINT ปิด 21.80 บาท บวก 0.20 บาท และ PTT ปิด 35 บาท ปิดไม่เปลี่ยนแปลง ตลาดปรับลงช่วงบ่ายหลังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้น นักลงทุนกังวลกับการนัดชุมนุมใหญ่ในช่วงท้ายสัปดาห์ และงบประมาณปี 64 ที่ล่าช้า
บล.เอเซียพลัสออกบทวิเคราะห์ ระบุว่า ประเด็นความล่าช้าการบังคับใช้ไม่ทัน 1 ต.ค.63 ของงบประมาณปี 64 (ต.ค.63-ก.ย.64) วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท (แบ่งเป็นรายจ่ายประจำราว 2 ล้านล้านบาท ขณะที่รายจ่ายลงทุน 6.74 แสนล้านบาท, ขาดดุลงบประมาณอีกราว 6.23 แสนล้านบาท) ในรอบนี้สาเหตุความล่าช้า เกิดจากอุปสรรคการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ คาดว่าจะกระทบเฉพาะโครงการลงทุนก่อสร้างของรัฐ ที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน คาด Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา CK-ITD-STEC, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA-WHA
ขณะที่รายจ่ายประจำ และโครงการลงทุนที่ก่อหนี้ผูกพันก่อนหน้าไปแล้วจะเบิกจ่ายได้ตามปกติ
หากพิจารณาในอดีตปีที่แล้ว งบประมาณปี 63 ก็ล่าช้ารวม 5 เดือน เกิดจากการเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลที่มีอุปสรรค ผลกระทบที่เกิดขึ้นรอบที่แล้ว หลักๆคือ กระทบเศรษฐกิจ
สรุปคือ ฝ่ายวิจัยประเมินการเบิกจ่ายงบประมาณปี 64 น่าจะเลื่อนออกไปไม่เกิน 1-2 เดือนเท่านั้น ไม่เหมือนปี 63 ที่ล่าช้าไปกว่า 5 เดือนครึ่ง ดังนั้น ผลกระทบน่าจะจำกัดและไม่ได้รุนแรงเหมือนในอดีต
กลยุทธ์ในช่วงนี้ ระยะสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างออกไปก่อน และเน้นลงทุนหุ้นที่ผลประกอบการแข็งแกร่ง มีแรงขับเคลื่อนเฉพาะตัว และต่างชาติถือครองน้อย เพื่อลดความผันผวนจากแรงขายของต่างชาติ อย่าง SVI, DCC, MCS, BEM, STGT และ DCC!!
อินเด็กซ์ 51