ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 13 ก.ค. โดยหุ้นไทยร่วงลงแรงในช่วงบ่าย หลังช่วงเช้าตลาดบวกขึ้นไปกว่า 10 จุด เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวล กับการระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19 หลังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานว่า พบทหารสัญชาติอียิปต์และเด็กหญิงชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากแอฟริกาพร้อมครอบครัว ของคณะทูตเข้ามาในประเทศไทยและติดโควิด-19 ขณะที่การค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีสหรัฐฯระบุว่า เขาไม่มีความคิดที่จะเปิดการเจรจาการค้าระยะที่ 2 กับจีนในเวลานี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศได้รับความเสียหายจากโควิด-19 โดยดัชนีปรับตัวลงมาปิดตลาดที่ระดับ 1,342 จุด ลดลง 8.13 จุด มูลค่าการซื้อขาย 62,374.16 ล้านบาท
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า ศบค. รายงานพบผู้ป่วยโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดความกังวลเพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีกด้วย แนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว ที่ได้อานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า ประกอบด้วย บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ร่วมกับ บริษัท M-DAQ จำกัด นำนวัตกรรมคำนวณราคาหลักทรัพย์ ด้วยการใช้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสถาบันการเงิน (Interbank FX Rate) แสดงราคาหลักทรัพย์ 50 อันดับแรก (ที่อยู่ในดัชนี SET50) ใน 10 สกุลเงินต่างประเทศแบบเรียลไทม์ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ลงทุน โดยเฉพาะผู้ลงทุนต่างชาติที่สนใจหุ้นไทย ได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจลงทุน ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์สามารถนำข้อมูลไปใช้อ้างอิงได้
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ การเสนอขายกองทุนรวม ภายใต้โครงการจัดการลงทุนระหว่างเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และไทย เพื่อเชื่อมโยงตลาดทุน และเพิ่มความหลากหลาย ในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนของทั้งสองตลาด.