สถานการณ์ตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ของไทยที่ผ่านมา อยู่ในทิศทางที่เป็นบวกทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นในเอเชีย หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง รวมทั้งผู้ติดเชื้อในประเทศไทยด้วยถือว่า
สถานการณ์โดยรวมมีพัฒนาการเชิงบวกที่ชัดเจน
ขณะที่สถานการณ์ภายในประเทศ ศบค. ยืนยันว่ายังไม่มีแผนประกาศเคอร์ฟิว 24 ชั่วโมงทั่วประเทศ โดยแนะนำให้รอแถลงการณ์จากทางการเท่านั้น
มุมมองของ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่าจะยังไม่มีเคอร์ฟิว 24 ชม. ในอนาคตอันใกล้ เพราะสถานการณ์โดยรวมดีขึ้น และประชาชนให้ความร่วมมือในการ WFH ทำงานที่บ้านมากขึ้น และหากจะมีการยกระดับ อาจเป็นการเพิ่มชั่วโมงเคอร์ฟิว จาก 6 เป็น 8 หรือ 10 ชั่วโมง
ด้านปัจจัยต่างประเทศ ที่มีผลต่อทิศทางตลาด คือราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่พลิกมาเคลื่อนไหวแดนบวก จากเปิดตลาดที่ร่วงไปมากถึง 10% โดยผู้อำนวยการกองทุนความมั่งคั่งรัสเซีย ออกมาให้ความเห็นว่าการเจรจาระหว่างรัสเซียและซาอุดีอาระเบีย ใกล้ได้ข้อสรุปในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน โดยคาดว่าการประชุมของ OPEC และรัสเซียจะมีขึ้นวันที่ 9 เม.ย.63
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่มีทิศทางดีขึ้น เป็นผลดีต่อราคาหุ้นพลังงานและปิโตรเคมี รวมทั้งทิศทางตลาดหุ้นในภาพรวม เพราะหุ้นน้ำมันเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีน้ำหนักต่อการคำนวณดัชนีตลาด
ปิดท้าย ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ได้ทำการปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ปี 63 มาที่ 1,397 จุด ลดลงจากเป้าเดิม 1,586 จุด หลังเผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) ปีนี้จะติดลบ 10% จากเดิมที่คาดว่าจะทรงตัว
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้สามารถซื้อลงทุนหุ้นได้หลายตัวมากขึ้นหลังจากมองว่าราคาหุ้นผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเฉพาะหุ้นที่มีการเติบโตดี และไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด–19 มากนัก มองว่าหลังจากจบเรื่องไวรัสแล้วน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว แนะนำสะสมกลุ่ม PTT, ADVANC, GULF, PTTEP
ส่วนหุ้นที่ลงลึกในกลุ่มปิโตรเคมีให้เลือกสะสมได้บางตัว อย่าง PTTGC, IVL เป็นต้น แม้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวลงไปมาก จากสงครามน้ำมันที่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วก็น่าจะตกลงกันได้ โดยมองว่าสงครามน้ำมันระหว่างรัสเซีย และซาอุดีอาระเบียน่าจะคลี่คลายได้มากขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย!!
อินเด็กซ์ 51