ดัชนีหุ้นไทย 25 มี.ค.63 ปิดที่ 1,080.03 จุด เพิ่มขึ้น 46.19 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 74,952.24 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 109.39 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 19 บาท บวก 1.50 บาท, PTT ปิด 31.25 บาท บวก 2.25 บาท, ADVANC ปิด 202 บาท บวก 8 บาท, PTTEP ปิด 66.25 บาท บวก 7 บาท และ CPALL ปิด 59.25 บาท บวก 0.25 บาท
หุ้นไทยขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่หลายประเทศออกมาตรการมาดูแลเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐอเมริกา สภาคองเกรสสหรัฐฯได้ผ่านร่าง อนุมัติเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบ COVID-19 อย่างเป็นทางการ วงเงินรวม 2 ล้านล้านเหรียญฯ
หลักๆคือ อัดฉีดเงินให้กับผู้ใหญ่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ/คน ขณะที่ เด็กได้ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ/คน, เงินกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กวงเงิน 3.67 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, โรงพยาบาลได้รับการจัดสรรเงินรวม 1.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดใหญ่วงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ฯลฯ บล.เอเซียพลัสประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังได้ Sentiment เชิงบวกทรงตัวในระดับสูงในอีกระยะหนึ่ง
สำหรับประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ผิดกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 0.25% เอเซียพลัสเชื่อว่าในอนาคตหากแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอมากกว่าคาด กนง.จะลดดอกเบี้ยได้อีกอย่างน้อย 1 ครั้งหรือลงได้อีก 0.25%
พิจารณาจาก Net interest rate หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายหักลบเงินเฟ้อ ยังมีส่วนต่างเป็นบวก ซึ่งการคงดอกเบี้ยทำให้ Market Earning Yield gap ขยายกว้างน้อยลง ซึ่งเอเซียพลัสได้ทำการศึกษาไว้ว่า ทุกๆ 0.25% ของ Yield Gap จะมีผลต่อค่า PER ของตลาดหุ้นประมาณ 0.7-0.8 เท่า หรือ SET Index ราว 52-60 จุด
ปิดท้าย ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 63 เป็น -5.3% ถือเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง
ปี 40 ที่เศรษฐกิจไทยเคย -7.3% โดยคาดว่า ส่งออกจะลดเหลือ -8.8% นำเข้าคาด -15% การบริโภคครัวเรือนพลิก -1.5% การลงทุนเอกชน -4.3% และการลงทุนภาครัฐขยายตัวได้ 5.8%
การปรับลด GDP Growth เป็นหดตัว 5.3% ของ ธปท. ถือเป็น Negative suprise ต่อตลาดหุ้น!!
อินเด็กซ์ 51