ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ดัชนีหุ้นไทยเด้งกลับขึ้นมาได้ หลังปรับตัวลงอย่างรุนแรงเมื่อสัปดาห์ก่อนกว่า 150 จุด โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ หลังธนาคารกลางทั่วโลก จ่อลดอัตราดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจสู้วิกฤติไวรัสโควิด-19 รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาทะยานบวกได้กว่า 5% เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น โดยปิดตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,375.02 จุด เพิ่มขึ้น 39.30 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 70,048.53 ล้านบาท โดยกองทุนรวมในประเทศซื้อสุทธินำตลาดถึง 8,888.81 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิ 5,324.64 ล้านบาท ตามด้วยรายย่อยขายสุทธิ 3,217.11 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 347.06 ล้านบาท
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมหุ้น เนื่องจากหุ้นไทยปรับลงมาที่ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี)ที่ 14.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยต่ำสุดในปี 2549 ที่ 13.8 เท่า นายณัฐชาตยังได้แนะนำ ธีมการ ลงทุนเดือน มี.ค.ดังนี้ 1.ลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) เนื่องจากมีอัตราเงินปันผลเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูง แต่แนะให้กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงสภาพคล่องภายในประเทศ 2. กลุ่มบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีโอกาสเข้าซื้อหนี้ในราคาถูกมาบริหาร ช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แถมได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง หุ้นที่แนะนำคือ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) 3.กลุ่มอาหารซึ่งจะได้ประโยชน์จากราคาสัตว์บกที่สูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า หุ้นแนะนำคือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) 4. กลุ่มที่อิงการลงทุนภาครัฐ เพราะรัฐบาลน่าจะเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณนี้ แนะนำหุ้น CK นอกจากนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากกลุ่มประเทศผู้ค้าน้ำมัน (โอเปก)