ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ม.ค.63 ปิดที่ 1,568.50 จุด ลดลง 26.47 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 71,208.83 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 923.23 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 47 บาท บวก 0.50 บาท, GPSC ปิด 87.75 บาท บวก 2.25 บาท, PTTEP ปิด 133.50 บาท บวก 3.50 บาท, AOT ปิด 72.25 บาท ลบ 1.75 บาท และ KBANK ปิด 143.50 บาท ลบ 9 บาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ไว้ที่ 1,585-1,620 จุด มองตลาดที่โดนกดดันจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ทำให้ดัชนีลงมาต่ำกว่า 1,600 จุด แต่การปรับตัวลงของดัชนียังขึ้นอยู่กับการตอบโต้ของอิหร่าน
แนะกลยุทธ์การลงทุนให้ “ถือ” หุ้นต่อและตลาดที่ปรับตัวลงแรงเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนด้านเงินปันผลดี และหุ้นที่มีพื้นฐานดีอิงทิศทางตลาด เลือก CPF, OSP, GULF, SPALI, CPNREIT และ AU
บล.หยวนต้า ระบุว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ส่งผลให้เงินลงทุนถูกโยกย้ายไปในสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ทำให้ปีนี้เป็นปีทองของทองคำ โดยคาดว่าจะเดินหน้าทดสอบ $1,800/Oz ซึ่งเป็นราคาเป้าหมายของราคาทองในปีนี้ จากแรงหนุนของอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ตามการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะถ้าเงินเฟ้อของสหรัฐฯแตะ 3% จะเปิดโอกาสให้ราคาทองคำทำ All Time High
ขณะที่ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้น จะหนุนให้ทองคำได้รับความน่าสนใจในฐานะ Safe Haven นอกจากนี้ จากข้อสังเกตของหยวนต้า ราคาทองคำมักปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในปีที่สหรัฐฯมีการเลือกตั้ง ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากนี้ ความต้องการเพื่อการลงทุนที่ผ่าน ETF ใกล้เคียงช่วงราคาทองคำทำ All Time High เมื่อปี 54 จะเป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำรอบนี้ขึ้นแรง
และยังพบอีกว่าเดือน ม.ค.ของทุกปี เป็นเดือนที่ทองคำให้ผลตอบแทนสูงสุด ดังนั้น จึงแนะนำให้ลงทุนในทองคำทันที หรือจัดสรรเงินลงทุนลักษณะ Asset Allocation ทั้งในรูปแบบของ Gold ETF ผ่าน GLD และกองทุนทองคำผ่าน K-GOLD และ KT-PRECIOUS เป็นต้น!!
อินเด็กซ์ 51