ปี 63 ลงทุนอะไรดี จัดพอร์ตรับปีหนูทอง หุ้น กองทุนอสังหาฯ ยิ้มรับปันผล

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปี 63 ลงทุนอะไรดี จัดพอร์ตรับปีหนูทอง หุ้น กองทุนอสังหาฯ ยิ้มรับปันผล

Date Time: 3 ม.ค. 2563 08:13 น.

Video

ดร.พิพัฒน์ KKP กระเทาะโจทย์เศรษฐกิจไทย บุญเก่าเจอความเสี่ยง บุญใหม่มาไม่ทัน

Summary

  • จัดพอร์ตตั้งรับปีหนูทอง หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว กองทุนอสังหาฯ โครงสร้างพื้นฐานยังให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนหุ้นไทย แนะดูรายตัว เน้นกลุ่มได้รับสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ๆ

จัดพอร์ตตั้งรับปีหนูทอง หุ้นตลาดพัฒนาแล้ว กองทุนอสังหาฯ โครงสร้างพื้นฐานยังให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนหุ้นไทย แนะดูรายตัว เน้นกลุ่มได้รับสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ๆ

นายชาตรี โรจนอาภา กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST SEC เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2562 ที่ผ่านมา มีขยายตัวในอัตราที่ช้าลงเทียบกับช่วงก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการค้าโลกที่หดตัวลง

ส่วนตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้า การดำเนินนโยบายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร โดยในปี 2563 เราคาดว่า ภาพการลงทุนยังคงคล้ายคลึงกับปี 2562 แต่จะมีความผันผวนที่ต่ำลงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ

1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในอดีตพบว่าในช่วงการเลือกตั้งจะเกิด "Election rally" คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก

2. รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนจากนโยบายทางการเงิน มาสู่นโยบายทางการคลังในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Policy switching) โดยนโยบายที่คาดว่าประเทศพัฒนาแล้วจะนำมาใช้คือการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี

3. สถานการณ์สงครามการค้าเบนเข็มสู่ยุโรป เราคาดว่าข้อตกลงทางการค้า Phase 1 น่าจะสามารถบรรลุได้ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตเริ่มกลับมาวางแผนผลิตเพื่อเพิ่มสินค้าคงคลังให้กลับมาสู่ระดับปกติ และส่งผลให้เกิดนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์สามารถชนะการเลือกตั้งได้ จะหันกลับมาทำสงครามทางการค้ากับยุโรปเพื่อชดเชยการขาดดุลทางการค้า ตามนโยบาย Keep America great again!

นายชาตรี กล่าวอีกว่า ส่วนมุมมองดอกเบี้ย เราคาดว่าปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดลงอีกครั้งให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลก

คาดหุ้นไทยปีหนูทองเคลื่อนไหวในกรอบ 1,588-1,787 จุด

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน KTBST SEC กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2563 เรามองว่า ข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐฯ และจีน น่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นในไตรมาสที่ 2 อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ส่วนประเทศไทยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะฟื้นตัวตั้งแต่ครึ่งปีแรกเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปี 2563 ไว้ที่ 9.8 แสนล้านบาท ขยายตัว 8.2% โดยมีค่า EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 94.8 บาท และปี 2564 คาดกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ขยายตัว 10.5% และคิดเป็น EPS หรือกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยที่ระดับ 103.6 บาท ซึ่งทั้ง 2 ปีจะเป็นการขยายตัวมาจากฐานที่ต่ำ และผลกระทบจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง

ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย หรือ SET INDEX ปี 2563 คาดว่าอยู่ที่ 1,725 จุด โดยอิง Forward P/E ที่ 18.2 เท่า หรือ +0.50 SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 16.75 เท่า และคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุด-สูงสุด ของ SET INDEX ให้ไว้ที่ 1,588-1,787 จุด

ปี 63 ลงทุนอะไรดี

นายชาตรี กล่าวว่า ในปี 2563 เรายังให้คำแนะนำเน้นลงทุนในหุ้นมากกว่าลงทุนในพันธบัตร โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา และยุโรปมากกว่าตลาด เนื่องจากประเทศพัฒนาแล้วมีโอกาสนำเครื่องมือการคลังมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง

นอกจากนี้ พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว ยังสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานจากอัตราเงินปันผลที่สูง

ประกอบกับเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออม หรือกองทุน SSF ที่จะเริ่มต้นในปีนี้ เปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างเสรีจึงเป็นโอกาสให้กองทุนเพื่อการออมลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และโครงสร้างพื้นฐานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ส่วนสินทรัพย์ที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ ตลาดหุ้นเกาหลี และฮ่องกง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่ไม่นอนด้านสงครามการค้า ในขณะที่ตราสารหนี้นั้น แนะนำให้ลดการถือครองเงินสด ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับต่ำและเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดีเพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Investment grade Bond)

ส่วนการลงทุนในหุ้นไทยนั้น นายมงคล แนะนำว่า ในปี 2563 หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ และคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีได้แก่

1. กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ๆ ได้แก่

- บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH
- บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG
- บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL
- บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM
- บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI
- บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC
- บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC
- บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD
- บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP
- บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS
- บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT

2. กลุ่มที่ราคาหุ้นหรือผลประกอบการอ่อนตัวลงมามากในปี 2019 อาทิ น้ำมัน, ปิโตรเคมี, ส่งออก, โรงแรม เช่น

- บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW
- บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP
- บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
- บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN
- บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP
- บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ