ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 ต.ค.62 ปิดที่ 1,605.96 จุด ลบ 4.73 จุด มี มูลค่าซื้อขาย 37,810.77 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,734.15 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTTEP ปิด 116.50 บาท ลบ 2.50 บาท, ADVANC ปิด 224 บาท บวก 3 บาท, SCB ปิด 114 บาท ลบ 1.50 บาท, KBANK ปิด 148.50 บาท ลบ 2 บาท, CPALL ปิด 80.75 บาท ลบ 0.75 บาท
ตลาดปรับตัวลงต่อ ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ยังเบาบาง ขณะที่ตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้น มีมุมมอง บล.เอเซียพลัส ที่น่าสนใจถึงทิศทางดอกเบี้ยในประเทศในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า การประชุม กนง.เหลืออีก 2 ครั้ง คือ 6 พ.ย. และ 18 ธ.ค.นี้ ยังมีโอกาสปรับลงอีก 1 ครั้ง ราว 0.25% อยู่ที่ 1.25%
เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมคือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของไทยปัจจุบันยังมีช่องว่างเป็นบวก อยู่ที่ 1.18% (ดอกเบี้ยนโยบายไทยอยู่ที่ 1.5% เงินเฟ้อ ล่าสุดเดือน ก.ย. อยู่ที่ 0.32%) ทำให้มีช่องว่างสามารถลดดอกเบี้ยลงได้
ขณะที่ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่า กระทบส่งออกไทย (ราว 68% ของ GDP) ล่าสุด เงินบาทแกว่งที่ 30.53 บาท/ดอลลาร์ ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี 11 เดือน นับตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าราว 6.11% ytd
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวชัดเจน ส่วนมาตรการการคลังที่รัฐเร่งออกเม็ดเงินที่เข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล 4Q62 เอเซียพลัสเห็นว่ามาตรการที่อัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจโดยตรง มีเพียงมาตรการเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 1,000 บาท และมาตรการชิมช้อปใช้เฟส 1 คนละ 1,000 บาทเท่านั้น!!
ด้วยภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งไทยและสหรัฐฯ รวมถึงความคาดหวัง FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น น่าจะช่วยสร้าง Sentiment เชิงบวก และมีโอกาสเห็นเม็ดเงินย้ายกลับเข้ามาในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้นปันผลสูง, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
โดยฝ่ายวิจัยเลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งปันผลเยี่ยมดังนี้ TCAP–LH–QH–SCB–SPALI–MAJOR–PYLON–BBL–PTT–PTTEP!!
อินเด็กซ์ 51