ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 26 ส.ค.62 ปิดที่ 1,622.73 จุด ลดลง 23.95 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,691.57 ล้านบาท
กองทุนในประเทศตกใจ!!ขายสุทธิหนักสุด 4,180.82 ล้านบาท ตามด้วยต่างชาติขายสุทธิ 1,392.54 ล้านบาท ส่วนรายย่อยยังคงเป็นชาวสวนเช่นเคย โดยซื้อสุทธิ 4,730.32 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 41 บาท ลบ 1.50 บาท, PTTEP ปิด 115 บาท ลบ 6.50 บาท, IVL ปิด 30.50 บาท ลบ 4 บาท, GULF ปิด 141.50 บาท บวก 3 บาท และ SCC ปิด 402 บาท ลบ 10 บาท
หุ้นไทยดิ่งลงตามหุ้นโลกและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง กังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ ทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงต้องรอติดตามการเจรจาการค้ารอบใหม่เพราะ ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวตบเดี๋ยวจูบตามอารมณ์ รุนแรง 2 ขั้วของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่เขย่าขวัญชาวโลกวันเว้นวัน!!!
นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่าผลของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง คาดว่าจะกระตุ้นให้หลายๆประเทศออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการใช้นโยบายการเงินและการคลังแบบผ่อนคลาย ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัว
และถ้าหากสงครามการค้าเริ่มมีท่าทีคลี่คลาย ด้วยดัชนีหุ้นไทยที่ปรับฐานลงมาเร็วและแรงในรอบนี้ รวมถึงภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ จะช่วยหนุนให้ Earning Yield Gap ตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้น
ทั้งนี้ Earning Yield Gap ไทยล่าสุดอยู่ที่ 4.56% โดยฝ่ายวิจัยประเมินแนวรับภายใต้แนวคิดแบบอนุรักษนิยมค่อนข้างมาก ผ่านการกำหนดเป้าหมาย SET Index จาก Earning Yield Gap โดยหากขยายขึ้นไปที่ 5.0% (จุดสูงสุดตั้งแต่ปี 57) จะได้แนวรับ SET Index บริเวณ 1,540-1,550 จุด
ดังนั้นหากเกิด Panic Sell ลงมาจึงน่าจะถือเป็นโอกาสเข้าลงทุนของนักลงทุนระยะยาว ส่วนระยะสั้นแนะนำเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย หรือหุ้นที่มีปันผลสูง เช่น POPF รวมถึงหุ้น Domestic Play อย่าง DRT, BCH!!
อินเด็กซ์ 51