ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 31 ก.ค.62 ปิดที่ 1,711.97 จุด บวก 5.48 จุดมีมูลค่าการซื้อขาย 50,852.11 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 178.25 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด SCC ปิด 434 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, CPALL ปิด 86.75 บาท ลบ 0.25 บาท, PTTEP ปิด 135.50 บาท บวก 0.50 บาท, SCB ปิด 137.50 บาท บวก 3 บาท, PTT ปิด 47.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ขึ้นสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาครอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%
“ภาสกร ลินมณีโชติ” รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย ระบุว่า ยังคงมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย ด้วยเป้าหมาย SET Index ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 1,775 จุด ซึ่งภาพรวมตลาดหุ้นยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว แต่ยังคงกรอบซื้อขายระยะสั้นของดัชนีที่ 1,660-1,760 จุด
ซึ่งการที่หุ้นไทยจะสามารถปรับเพิ่มมูลค่าหุ้นให้สูงกว่านี้ ต้องมีปัจจัยเชิงบวกสำคัญที่จับต้องได้ เช่น ถ้อยแถลงที่สะท้อนนโยบายเชิงผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่บ่งชี้ถึงวัฏจักรการปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งในปี 62 หรือการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น A-รวมถึงนโยบายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จับต้องได้จริง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองปัจจัยเสี่ยงต่อหุ้นไทยในประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่รุนแรงขึ้น จนอาจมีการดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเชื่อว่าตลาดรับรู้ผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้นไปแล้ว
โดยกลุ่มผู้ซื้อสินค้าที่พบว่าราคาสินค้าที่ปรับขึ้นกะทันหัน สามารถหาแหล่งสินค้าจากซัพพายเออร์อื่นๆได้ ส่วนกลุ่มผู้ขายก็อาจต้องหาตลาดใหม่เพื่อจำหน่ายสินค้าของตน หรือย้ายฐานการผลิตหรือห่วงโซ่ อุปาทานไปยังประเทศอื่น แต่ยังมองว่าสถานะที่ลามไปถึงห่วงโซ่เทคโนโลยีของโลก จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอีกเรื่องคือ พันธบัตรของโลกที่พลิกมาเป็นขาขึ้น ซึ่งมองว่าการปรับตัวขึ้นของ SET Index ในช่วงหลัง เป็นผลมาจากการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรล้วนๆ จึงทำให้การพลิกผันของพันธบัตรมาเป็นขาขึ้น จะกลายเป็นปัจจัยฉุดตลาดหุ้นไทยให้กลับไปสู่จุดต่ำสุดที่ 1,600 ได้เช่นกัน!!
อินเด็กซ์ 51