ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 17 ก.ค.62 ปิดที่ 1,718.85 จุด ลบ 9.13 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 62,632.00 ล้านบาท ต่างชาติซื้อขาย 682.03 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธิหนักสุด 3,354.59 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 48 บาท บวก 0.25 บาท, BEM ปิด 10.30 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, GPSC ปิด 67.75 บาท ลบ 3.25 บาท, CPALL ปิด 87.25 บาท ลบ 0.25 บาท, DTAC ปิด 56.75 บาท บวก 0.75 บาท
ตลาดปรับตัวลงแรง หลังนักลงทุนกลับมากังวลกับท่าทีล่าสุดของ “โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อสงครามการค้า ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ดิ่งลงแรง กดดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีส่งผลกดดันตลาดในภาพรวม
บล.โกลเบล็ก มองทิศทางตลาดหุ้นไทยวันที่เหลือของสัปดาห์ว่า นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงการประชุมในวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ ประกอบกับการเมืองในประเทศมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งต้องลุ้นต่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดย ครม.ชุดใหม่ ที่เสนอนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้ จะเป็นอย่างไร เชื่อว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่างชาติและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงปลายปีได้
ส่วนปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการลงทุนในช่วงนี้ เช่น ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว จาก GDP ของจีนในช่วงไตรมาส 2 ที่โต 6.2% โตต่ำสุดในรอบ 27 ปี ชะลอตัวจาก 6.4% ในไตรมาส 1 ปี 62 เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ และการออกมาตรการเฝ้าระวังเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น เพื่อสกัดการเก็งกำไรของไทยอาจกดดัน fund flow ชะลอตัวหรือไหลออก
ดังนั้น มองหุ้นไทยยังมีโอกาสแกว่งตัวผันผวน คาดดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,710-1,740 จุด ดังนั้น จึงแนะกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทพลิกอ่อนค่า หลัง ธปท.สกัดเงินร้อน แนะ “ซื้อ เก็งกำไร” หุ้น HANA, DELTA และ KCE ที่เป็น laggard เนื่องจากก่อนหน้านี้เสียประโยชน์จากค่าบาทแข็ง
หุ้น Theme EEC play เช่น AMATA, WHA, ROJNA, EASTW, ATP30 และ ORI รวมทั้งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เช่น STEC, CK, STPI และ SEAFCO อีกทั้งหุ้นกลุ่มเดินเรือ เช่น TTA, PSL, RCL และ AMA!!
อินเด็กซ์ 51