ภาวะการซื้อขายหุ้น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับที่ 1,720.52 จุด ลดลง 2.04% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.19% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 57,388.09 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 449.37 จุด ลดลง 1.54% จากสัปดาห์ก่อน
สำหรับสัปดาห์นี้ (8-12 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,705 และ 1,690 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,730 และ 1,740 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/2561
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ก.ย. ตลอดจนถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน ก.ย. ของประเทศแถบยุโรป
ภาวะตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับเงินบาทอ่อนค่าอยู่ที่ 32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาค และสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯแข็งแกร่งกว่าที่คาด อาทิ ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ เป็นต้น เป็นปัจจัยบวกของค่าเงินดอลลาร์ฯ และหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
สำหรับสัปดาห์นี้ (8-12 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.60-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการไตรมาส 3/2561 ของบริษัทจดทะเบียน และสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญประกอบด้วย ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออก เดือน ก.ย. เป็นต้น
นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีน ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสิงคโปร์ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือน ก.ย.ของจีน
บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด