สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้งในปี 2025 จะเป็นปัจจัยชี้ชะตาตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้ ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มงวดยิ่งขึ้นจากจีนจะยังคงเป็นประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนในภูมิภาค
นโยบายกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ลดดอกเบี้ยอย่างระมัดระวัง อาจกดดันให้ดัชนี MSCI Asia Pacific ทำผลงานแย่กว่าในปี 2024 ซึ่งปรับตัวลงมากถึง 16% ลามไปถึงดัชนี S&P 500
มาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศของรัฐบาลจีนจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคนี้ นักลงทุนยังจะจับตามองการพัฒนาทางการเมืองในเกาหลีใต้และการเคลื่อนไหวของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอื่นๆ อย่างใกล้ชิด Bloomberg เปิดเผย 5 ปัจจัยที่จะส่งกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้
หลังจากที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหยุดชะงัก นักลงทุนจะจับตาการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในเดือนมีนาคมเพื่อกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2024 และแผนรายละเอียดในการกระตุ้นการบริโภคเพื่อผลักดันการเติบโตของตลาดหุ้น
โดยมาตรการที่คาดว่าจะนำมาใช้ ได้แก่ เงินอุดหนุนและบัตรกำนัลสำหรับผู้บริโภค สวัสดิการว่างงาน และความช่วยเหลือสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามที่ Mark Matthews หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียของธนาคาร Julius Baer ในสิงคโปร์กล่าว
หุ้นจีนเริ่มต้นปีด้วยแนวโน้มขาลงหลังจากเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีในปี 2024 แม้ว่าจะมีความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นสำหรับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ยังคงมีความกังวลต่อความแข็งแกร่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจะช่วยผลักดันให้เงินไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียโดยมีการเปิดรับความเสี่ยงจากจีน
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อตลาดหุ้นเอเชีย นโยบายการตั้งกำแพงภาษีทั้งกับประเทศคู่ค้าที่เป็นทั้งพันธมิตรและศัตรูมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ขององค์กรและดิสรัปห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
เสี่ยว เฟิง หัวหน้าร่วมฝ่ายวิจัยอุตสาหกรรมจีนที่ CLSA ฮ่องกง กล่าวว่า อุตสาหกรรมที่จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรมผลิตชิปในเอเชียและซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้การเพิ่มอัตราการเก็บภาษีศุลกากรรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน ซึ่งปกติจะถูกจัดเก็บภาษี 100% อยู่แล้วภายใต้การบริหารของรัฐบาลไบเดน คาดว่าจะส่งผลกระทบในวงจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของการส่งออกทั้งหมด แต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ส่งออกไปยังเม็กซิโกและแคนาดา อาจได้รับคำสั่งซื้อน้อยลง หากทรัมป์ตัดสินใจจัดเก็บภาษีเพิ่มกับทั้งสองประเทศ
ในทางกลับกัน อินเดียและบางประเทศในอาเซียนจะได้รับอานิสงส์จากการกระจายฐานการผลิตท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น นักลงทุนจะให้การจับตามองนโยบายของทรัมป์เพื่อหาจุดซื้อขายหุ้น
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งสัญญาณระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นต่อไปอย่างน้อยในช่วงต้นปี ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ค่าเงินและหุ้นของเอเชียปรับตัวลง
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และการเดินหน้านโยบายของทรัมป์ที่จะสร้างความปั่นป่วนต่อการค้าและการลงทุนโลก จะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ส่งผลให้ธนาคารกลางในภูมิภาคไม่สามารถลดต้นทุนการกู้ยืมได้
“เราจะยังคงติดตามนโยบายต่างประเทศภายใต้รัฐบาลของชุดใหม่ที่มีต่อเอเชียและนโยบายในประเทศอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และแนวโน้มของเฟด” Jack Siu (แจ็ค ซิว) หัวหน้าฝ่ายบริหารพอร์ตโฟลิโอเอเชียที่ Lombard Odier กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าสูงสุดในช่วงปลายปี ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ลดลงในสหรัฐฯ และความต้องการเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น หากเป็นเช่นนั้น เงินไหลเข้าเอเชียอาจเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปในเดือนมีนาคมจากเดิมที่คาดว่าจะเป็นเดือนมกราคม หลังจากผู้ว่าคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แสดงท่าทีว่าจะผ่อนปรนการดำเนินนโยบายการเงินเมื่อเดือนที่แล้ว ต่อมานักเทรดได้ลดการคาดการณ์ว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งเงินเยนอ่อนค่าลง 10% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ในปี 2024
เงินเยนที่อ่อนค่าลงจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออก เช่น ผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีและผู้ผลิตรถยนต์ ผลการดำเนินงานของตลาดที่ดีจะส่งผลให้ดัชนี MSCI Asia ปรับดีขึ้นตาม เนื่องจากหุ้นญี่ปุ่นมีน้ำหนักมากถึง 32%
ความปั่นป่วนทางการเมืองของเกาหลีใต้ ส่งผลให้แนวโน้มของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของเอเชียไม่แน่นอนไปด้วย โดยในปี 2025 เกาหลีใต้ได้ปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจลงเหลือ 1.8% หลังจากที่ขยายตัว 2.1% ในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอก ยอล เพิ่มความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีผลงานแย่ที่สุดในโลกเมื่อปีที่แล้ว โดยคาดว่าผลดำเนินงานจะตกต่ำลงไปอีกตามหลังคู่แข่งทางเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างไต้หวัน ค่าเงินวอนยังคงเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี นักลงทุนจะจับตาการตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญว่ายุนจะถูกปลดจากตำแหน่งอย่างถาวรหรือไม่ หากศาลตัดสินให้คำร้องถอดถอนยุนมีผล เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งประธานาธิบดีภายใน 60 วัน
ที่มา
ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney